สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า เมื่อวันศุกร์ มีผู้ประท้วงในเมียนมาถูกสังหารอีกสี่คน รวมมีผู้ประท้วงถูกสังหารนับตั้งแต่เกิดรัฐประหารเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์แล้วทั้งสิ้นกว่า 320 คน โดยกองทัพเมียนมายังขู่ผู้ประท้วงให้ระวังถูกยิงที่ศีรษะหรือหลัง หากยังไม่ยุติการชุมนุม
สถานีโทรทัศน์ MRTV ของทางการเมียนมา เปิดเผยประกาศของกองทัพที่ระบุว่า “พวกคุณควรเรียนรู้จากโศกนาฏกรรมการเสียชีวิตก่อนหน้านี้ว่า คุณอาจเสี่ยงถูกยิงที่ศีรษะหรือหลังได้”
คำประกาศดังกล่าวไม่ได้ระบุชัดเจนว่า กองกำลังความมั่นคงได้รับคำสั่งให้ยิงสังหารผู้ประท้วงได้ โดยทางรัฐบาลทหารเคยพยายามส่งสัญญาณก่อนหน้านี้ว่า ปืนที่ยิงสังหารผู้ประท้วงบางส่วนมาจากในกลุ่มผู้ประท้วงด้วยกันเอง
อย่างไรก็ตาม ประกาศจากรัฐบาลทหารเมียนมาครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า ทางกองทัพต้องการให้การจัดงานวันกองทัพในวันเสาร์ดำเนินไปอย่างราบรื่น ในขณะที่ผู้ประท้วงตั้งเป้าจัดประท้วงต่อไปในวันดังกล่าว หลังเกิดเหตุมีผู้ปาระเบิดขวดเข้าไปยังสำนักงานใหญ่ของพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) ในนครย่างกุ้ง ทำให้เกิดเพลิงไหม้ขนาดย่อม ตามรายงานของสำนักข่าว The Associated Press
นับตั้งแต่เกิดเหตุรัฐประหารขึ้น มีการประท้วงแทบทุกวันทั่วเมียนมา โดยเมื่อวันศุกร์ มีรายงานว่ามีการประท้วงที่เมืองมัณฑะเลย์ เมืองซะไกง์ รัฐกะเหรี่ยง รัฐชิน ซึ่งพยานระบุว่า กองกำลังความมั่นคงยิงผู้ประท้วงที่โบกธงดำในเมืองมะริด และมีผู้ถูกยิงที่เสียศีรษะเสียชีวิตสองคน โดยไม่สามารถเก็บศพของผู้เสียชีวิตรายที่สามได้ เนื่องจากมีเจ้าหน้าที่อยู่เป็นจำนวนมาก
พยานอีกรายระบุว่า เขาเห็นผู้เสียชีวิตรายที่ 4 โดยสำนักข่าวเมียนมา นาว (Myanmar Now) ระบุว่า ผู้เสียชีวิตรายที่4 นี้ถูกสังหารในเมืองมะริดเช่นกัน
ข้อมูลจากองค์กรสิทธิมนุษยชน Assistance Association for Political Prisoners หรือ AAPP ระบุว่า ผู้ถูกสังหารอย่างน้อย 25 เปอร์เซ็นต์ จากทั้งหมดกว่า 320 คน เสียชีวิตจากการถูกยิงที่ศีรษะ ทำให้เกิดข้อกังขาว่า พวกเขาอาจถูกเล็งเป้าสังหาร
ในขณะเดียวกัน ทางการเมียนมาก็ปล่อยตัวผู้ประท้วงที่ถูกคุมขังราว 322 คนในนครย่างกุ้ง โดยเจ้าหน้าที่อาวุโสของเรือนจำบอกกับสำนักข่าวเอเอฟพีว่า ผู้ถูกปล่อยตัวเป็นชาย 249 คน และหญิง 73 คนในขณะที่ AAPI ระบุว่า ก่อนหน้านี้มีผู้ประท้วงถูกปล่อยตัวแล้วราว 1,000 คนจากทั้งหมดราว 3,000 คน
อย่างไรก็ตาม นางออง ซาน ซูจี ผู้นำพลเรือนของเมียนมาที่ถูกยึดอำนาจ ยังคงถูกควบคุมตัวในสถานที่ที่ไม่เป็นที่เปิดเผยต่อไป เช่นเดียวกับแกนนำพรรคเอ็นแอลดีคนอื่นๆ
คริสตีน สคราเนอร์ เบอร์เกเนอร์ ผู้แทนพิเศษของสหประชาชาติ หรือ ยูเอ็น ประจำเมียนมา ระบุว่า กองทัพเมียนมาคุกคามประชาชนในประเทศของตนเอง โดยสตรี เยาวชน และเด็ก อยู่ในกลุ่มผู้ที่ถูกสังหารด้วย
รัสเซียสวนกระแส กระชับความสัมพันธ์กองทัพเมียนมา
ในขณะที่สหรัฐฯ และยุโรปเพิ่มมาตรการลงโทษเมียนมาในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ทางรัสเซียกลับแสดงการสนับสนุนกองทัพเมียนมาพร้อมระบุว่า ต้องการกระชับความสัมพันธ์กับเมียนมา
สำนักข่าว Tass รายงานว่า เมื่อวันศุกร์ อเล็กซานเดอร์ ฟอมิน รัฐมนตรีช่วยกลาโหมของรัสเซีย พบกับนายพลอาวุโส มิน อ่อง หล่าย โดยกล่าวว่า เมียนมาเป็น “พันธมิตรที่พึ่งพาได้” และเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ของรัสเซีย
ความสัมพันธ์ด้านการทหารระหว่างรัสเซียและเมียนมาแน่นแฟ้นขึ้นในช่วงไม่กี่ปีมานี้ โดยรัสเซียซ้อมรบทหารเมียนมาหลายพันคนและขายอาวุธให้กองทัพเมียนมา การสนับสนุนรัฐบาลทหารเมียนมาของรัสเซียยังมีความสำคัญ เนื่องจากรัสเซียเป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เช่นเดียวกับจีน ที่ไม่แสดงท่าทีวิจารณ์สถานการณ์ในเมียนมา ซึ่งคะแนนเสียงจากรัสเซียและจีนอาจยับยั้งการปฏิบัติการของยูเอ็นได้
เมื่อวันศุกร์ ธนาคารโลกคาดการณ์ด้วยว่า เศรษฐกิจของเมียนมาจะหดตัวลง 10 เปอร์เซ็นต์ในปีนี้ จากเดิมที่คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่าเศรษฐกิจจะเติบโตขึ้น
