เรียกว่าสร้างความฮือฮาและปลุกจินตนาการวัยเด็กยุค 90 กันอีกครั้ง กับการผจญภัยของสิงโตเจ้าป่าขวัญใจลูกเด็กเล็กแดงในยุค 90 กับ The Lion King ในรูปแบบ Live-Action ในเรื่องนี้ได้ผู้กำกับ Jon Favreau (จอน ฟาฟโรว์) หรือแฮปปี้ คนสนิทของโทนี สตาร์ค ซึ่งเคยฝากผลงานกำกับภาพยนตร์แนวแฟนตาซีตระการตาอย่าง The Jungle Book มาแล้ว
The Lion King ในแบบไลฟ์-แอคชั่น เล่าถึง ซิมบา สิงโตที่เนรเทศตัวเองจากอาณาจักร หลังจาก มูฟาซ่า ผู้เป็นพ่อถูกลอบสังหารโดย สการ์ ผู้เป็นอา แต่ซิมบาไม่อาจฝืนโชคชะตาแห่งการเป็นเจ้าป่าที่แท้จริง ทำให้ต้องกลับมาทวงดินแดนอันชอบธรรมอีกครั้ง
ก่อนหน้านี้ มีการนำเสนอภาพแบบช็อตต่อช็อตของ The Lion King ในเวอร์ชั่นการ์ตูนและแบบไลฟ์แอคชั่น ซึ่งถอดแบบเรื่องราวจากการ์ตูนในตำนานชื่อเดียวกัน ทำให้ไม่ต้องคาดเดาอะไรกันมาก นอกจากรอชมความสมจริงและความอลังการงานสร้างเท่านั้น
ทว่าความสมจริงก็กลายเป็นข้อจำกัดได้เหมือนกัน จากการใช้สิงสาราสัตว์จริงๆมานำเสนอ ทำให้ขาดเรื่องการแสดงอารมณ์ ซึ่งในรูปแบบการ์ตูนดั้งเดิมนั้นได้ความลึกเรื่องอารมณ์ของตัวละครมากกว่า
แต่ขอชื่นชมทีมพากษ์ ซึ่งสร้างความประทับใจในงานเสียงของนักแสดงแต่ละคนที่ถ่ายทอดออกมาได้ดี ตั้งแต่ผู้รับบทพากษ์ มูฟาซ่า สการ์ ทีโมน พุมบา และซิมบาวัยเด็ก จนกระทั่งมาถึงตอนที่บียอนเซ่ เปล่งเสียงมาเท่านั้น ทำให้ขนลุกกว่าตอนที่ซิมบ้าตอนโตพูดเสียอีก เพราะให้ความเป็นสิงโตเพศเมียผู้แข็งแกร่งเยี่ยงชายชาตรี แต่มีความอ่อนโยนและผูกพันกับซิมบาที่สุดในสามโลก
ส่วนเรื่องของบทเพลงที่ตราตรึงใจในวัยเด็ก ทั้งเพลง Circle of Life ที่มักจะร้องผิดๆถูกๆกันมาจนถึงทุกวันนี้ เพลง Can You Feel the Love Tonight ในเวอร์ชั่นใหม่ เพลง Hakuna Matata ฟังเพลินๆ และมีเพลงใหม่อย่าง Spirit ซึ่งขับร้องโดย ควีนบี บียอนเซ่ ที่รับบทพากษ์เสียงไม่พอขอต่อร้องเพลงประกอบหนังให้ตราตรึงไปจนจบเรื่อง
โดยสรุปแล้ว The Lion King ได้คะแนนความคิดถึงของแฟนการ์ตูนในยุค 90 ไปได้ส่วนหนึ่ง ที่หยิบยื่นความสมจริงของหนังไลฟ์แอคชั่นให้คนดูได้มากขึ้น แต่ยังไม่เต็มที่เต็มอารมณ์ในแง่ของความดราม่าจากตัวละคร ซึ่งเป็นโจทย์สำคัญให้ทีมสร้างในอนาคตที่จะปลุกชีพการ์ตูนที่ทุกคนรู้จักกันดีให้กลายเป็นไลฟ์แอคชั่น ว่าจะต้องไม่ลืมที่จะทำการบ้านเรื่องนี้ให้หนักขึ้นกว่าเดิม
(บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดย นีธิกาญจน์ กำลังวรรณ)