ผ่านร้อนผ่านหนาวมากว่า 24 ปี สำหรับภาพยนตร์แอนิเมชั่นปลุกชีพของเล่นให้มีชีวิตโลดแล่นบนจอเงินที่ประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลายในทุกภาค อย่าง Toy Story ซึ่งดำเนินมาจนถึงภาคที่ 4 กันแล้ว เรียกได้ว่าอาจจะมีบางคนได้ชมภาคแรกในช่วงยังหนุ่มสาวต้องหอบลูกจูงหลานมาชมกันในภาค 4 นี้ก็เป็นได้
Toy Story 4 เล่าถึงเส้นทางใหม่ วู้ดดี้ บัซไลท์เยียร์ และเหล่าของเล่นได้มาอยู่กับหนูน้อย บอนนี่ วัยเตรียมอนุบาลที่มีความสามารถด้านการประดิษฐ์ เธอได้สร้างของเล่นใหม่นามว่า ฟอร์กี้ มาจากช้อนกึ่งส้อม หรือ Spork ในถังขยะ
เจ้าฟอร์กี้เป็นของเล่นชิ้นโปรดของบอนนี่ ที่เกิดความสับสนในตัวเองว่ามันคือของเล่น ของใช้ หรือขยะที่ถูกทิ้งไปแล้วกันแน่ วันหนึ่งเจ้าฟอร์กี้ตัดสินใจจะกลับไปเป็นขยะเหมือนเดิมและหนีออกจากบ้าน เดือดร้อนถึงวู้ดดี้ที่ต้องคอยเป็นพี่เลี้ยงดูแลปกป้อง นำไปสู่การผจญภัยและมิตรภาพครั้งใหม่ของเหล่าของเล่น
ในภาคนี้ได้รับการโปรโมทอย่างหนักหน่วง เมื่อคีอานู รีฟส์ ต้องวางอาวุธและทิ้งน้องหมาจาก John Wick มารับบท ดุ๊ก คาบูม ตุ๊กตาสตันท์แมนจากแคนาดา และทัพนักแสดงที่มาร่วมพากษ์เป็นของเล่นมากมาย จึงเรียกกระแสได้อย่างไม่ต้องสงสัย
นี่เป็นอีกหน้าหนึ่งของการผจญภัยของวู้ดดี้และก๊วนของเล่น ที่ต้องไปพบกับบ้านหลังใหม่ และความวุ่นวายสนุกสนาน ฉากและตัวละครสวยงามดูเพลิน
ตัวบททำได้ดีในการเกลี่ยบทบาทของตัวละครแต่ละตัวในเรื่อง แม้กระทั่งตัวละครใหม่ก็ยังทำให้รู้จักได้โดยง่าย เนื้อเรื่องย่อยง่ายและสนุกสนานสำหรับเด็ก แต่ในขณะเดียวกันก็สอดแทรกข้อคิดมากมายให้กับผู้ใหญ่
โดยสรุปแล้ว ในความเห็นของผู้เขียนมองว่า Toy Story มันเลยจุดพีคมาแล้วในฐานะหนังไตรภาค เพราะในภาค 1-3 เป็นเส้นทางของเหล่าของเล่นกับแอนดี้เจ้าของเก่า แต่หากจะจัดกลุ่มให้ภาคนี้เป็นการตั้งโจทย์ใหม่ให้กับเหล่าของเล่นถึงเป้าหมายชีวิตของเหล่าของเล่น และเป็นอีกเส้นเรื่องที่มอบความสนุกอิ่มเอมให้กับคนดู มากกว่าจะเรียกน้ำตากับความกินใจเหมือนกับ Toy Story 3 เมื่อเกือบ 10 ปีที่แล้วถือว่าทำได้ดี ซึ่งน่าจะเป็นการตั้งโจทย์ให้กับภาพยนตร์ภาคต่อเรื่องอื่นๆ ในแง่ของการริเริ่มสร้างสรรค์ แทนที่จะมัวแต่มาต่อยอดความสำเร็จจากหนังในภาคก่อนๆ
(วิจารณ์ภาพยนตร์โดย นีธิกาญจน์ กำลังวรรณ)