หลังจากสร้างความสำเร็จอย่างถล่มทลายในภาคแรก ของการตีโจทย์ Maleficent ตัวร้ายจากเจ้าหญิงนิทราได้แตะกระจุย พร้อมรายได้เกินความคาดหมาย ใน MALEFICENT มาคราวนี้คุณแม่นางพญาปีศาจ ก็มาพร้อมกับความคาดหวังในภาคต่อ MALEFICENT: Mistress of Evil
สำหรับ MALEFICENT: Mistress of Evil เล่าถึง เจ้าหญิงออโรรา หลังตื่นจากนิทราและได้คบหากับเจ้าชายฟิลิป ผู้ครอบครองจูบแรกของนาง ถึงเวลาที่เจ้าชายจะคุกเข่าขอแต่งงานสักที แต่คุณแม่มาเลฟิเซนต์ดูท่าจะไม่ปลื้มไม่เห็นด้วยอย่างแรง บวกกับว่าที่ครอบครัวที่จะมาเกี่ยวดองกับเจ้าหญิงออโรรา ดูท่าจะไม่ถูกชะตากับคุณแม่มาเลฟิเซนต์เสียด้วย นำไปสู่สงครามระหว่างกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ พร้อมแผนร้ายที่คาดไม่ถึง
ในภาคนี้ประทับใจในฉากสุดอลังการชนิดที่ไม่ใช่ดิสนีย์คงทำไม่ได้ ความละเอียดของเหล่าภูติในเมืองมัวร์ส รวมทั้งดินแดนมหัศจรรย์อีกแห่งในเรื่องซึ่งสวยงามตระการตา และมีตัวน่ารักน่าเอ็นดูมากมาย งานภาพคุ้มค่าเต็มตาเต็มอารมณ์ สมกับความแฟนตาซีที่มอบให้กับคนดูแบบคุ้มค่าตั๋วหนังอย่างมาก
กลับมาที่ตัวละครกันบ้าง จากในภาคก่อนที่เน้นการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างมาเลฟิเซนต์และออโรรา และนกวิเศษเดียวาล ซึ่งกลายเป็นครอบครัวประหลาดที่น่ารักที่สุดในความคิดของผู้วิจารณ์ แต่มาคราวนี้ตัวละครหลักทั้ง 3 ในภาคก่อน กลับถูกลดทอนความสำคัญในภาพยนตร์ไปหมดด้วยตัวละครใหม่คับจอ โดยเฉพาะราชินีอิงกริส (มิเชล ไฟเฟอร์) เป็นคู่ปรับที่สมน้ำสมเนื้อและมีมิติมากที่สุดในเรื่อง โผล่มาแต่ละฉากก็ลากคนดูอินไปกับความมุ่งมั่นอันแรงกล้าในการสังหารมาเลฟิเซนต์และเหล่าภูติให้หมดไปจากโลกนี้ และอีกตัวที่ขโมยซีน คือ ทหารหญิงตัวร้ายในเรื่องที่แสบสันต์จนน่าหมั่นไส้
ไม่เพียงแต่ตัวละครที่ล้นจอ แต่ยังรวมถึงตัวบทและการดำเนินเรื่องที่อัดแน่นไปด้วยหลายประเด็น ส่งผลให้การลำดับภาพที่ดูขัดหูขัดตาไม่เนียนกริบแนบสนิทชวนดูเหมือนในภาคแรกที่ดำเนินเรื่องแบบไร้รอยต่อ เห็นได้จากการสลับไปมาในดินแดนนั้นดินแดนนี้ ทำให้รู้สึกสับสน ขาดความสมเหตุสมผล กระชากอารมณ์คนดูจนเวียนหัวไปหมด ไม่สุดในอารมณ์สักทาง ไม่กินใจเหมือนในภาคแรกที่รู้สึกประทับใจมาจนถึงวันนี้
ที่ประหลาดใจอย่างมากในเรื่องนี้ คือ การใส่ฉากรุนแรงสะเทือนใจลงในหนังเรต PG ที่คิดว่าหากหอบลูกจูงหลานวัยกระเตาะเข้าไป อาจมีสะเทือนใจถึงขั้นร้องไห้กระจองอแงลั่นโรงเป็นแน่
โดยสรุปแล้ว MALEFICENT: Mistress of Evil เป็นหนึ่งในหนังเจ้าหญิงแฟนตาซีที่เข้มข้นสุดในยุคนี้ ด้วยมิติของความรักระหว่างแม่นางพญาที่มีต่อลูกที่ไม่ใช่เผ่าพันธุ์ตัวเอง แทรกเรื่องราวการเมือง ความแตกต่างด้านชาติพันธุ์ สงครามและความปรองดอง ซึ่งอัดแน่นมาในเรื่องนี้ แต่คงไม่ถึงขั้นหนังโปรดที่หยิบมาดูซ้ำๆหลายรอบเหมือนภาคแรกอย่างแน่นอน
(บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดยนีธิกาญจน์ กำลังวรรณ)