ถือเป็นภาพยนตร์ไซ-ไฟระทึกขวัญแห่งปี 2019 ที่จุดไฟฝันให้เราอยากออกไปแตะขอบฟ้าหรือไปไกลกว่าระบบสุริยะจักรวาลกันเลยทีเดียว สำหรับ Ad Astra ซึ่งว่าตามภาษาสเปนที่แปลว่าไปถึงดวงดาว ที่ได้ แบรด พิตต์ มารับบทนำและผู้อำนวยการสร้างหนังเรื่องนี้ด้วยตัวเอง พร้อมด้วยทัพนักแสดงที่ไม่มากมายแต่ดูน่าติดตาม อาทิ ทอมมี ลี โจนส์, ลิฟ ไทเลอร์, และรูท เนกก้า
Ad Astra ภารกิจตะลุยดาว เล่าถึงสถานการณ์ที่โลกและระบบสุริยะกำลังเผชิญกับคลื่นจากการระเบิดของพลังสุริยะปริศนาที่เรียกกันว่า the surge ซึ่งกำลังเข้าทำลายโลกและดาวเคราะห์อื่นๆในจักรวาล ทำให้ทางการสหรัฐฯ ต้องส่งตัวรอย แมคไบรด์ (แบรด พิตต์) นักบินอวกาศมากฝีมือ ไปหาคำตอบถึงต้นตอของ the surge ซึ่งต่างเชื่อกันว่ามาจากโครงการลับ Lima Project ที่คลิฟฟอร์ด แมคไบรด์ พ่อของรอยซึ่งเป็นนักบินอวกาศในตำนานผู้บุกเบิกโครงการสำรวจดาวเคราะห์ในสุรยะจักรวาล ก่อนที่จะหายสาบสูญไปกว่า 30 ปี
ในช่วงแรกของเรื่องดำเนินไปอย่างสนุกสนาน ตื่นเต้น น่าติดตาม จนกระทั่งผ่านพ้นไปในองค์สองหนังก็เริ่มหลุดลอยไปกับอวกาศอย่างน่าเสียดาย ตัดเรื่องความสมเหตุสมผลของภารกิจสำรวจอวกาศไปเลยจะพบว่า หัวใจของเรื่องคือการโยงภารกิจเดินทางข้ามผ่านดาวเคราะห์ในระบบสุริยะกับสภาวะจิตใจของรอย แมคไบรด์ ที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลาภายใต้สถานการณ์ที่เขาเผชิญตลอดเส้นทาง หนังพยายามเน้นความเป็นทริลเลอร์จนไม่สามารถขยี้ความดราม่าและไม่สามารถเชื่อมโยงของตัวละครแต่ละตัวได้
สิ่งที่เหลือไว้ให้ชมในภาพยนตร์เห็นจะเป็นใบหน้าของแบรด พิตต์ ที่แสดงอารมณ์สับสน ท้อแท้ สิ้นหวัง ก่อนจะกลับมามีความหวังอีกครั้งในช่วงท้าย เรียกว่าถ้าไม่ได้แบรด พิตต์ ที่เอาอยู่ภายใต้ชุดนักบินอวกาศสุดคูลเช่นนี้ ก็ไม่รู้ว่าเรากำลังนั่งดูดาวที่ท้องจำลองกันอยู่หรือเปล่า
สิ่งที่เป็น takeaway ของเรื่อง ก็คือ ความกดดันของลูกไม้ที่หล่นไม่ไกลต้น ที่ต้องพยายามเติบโตให้ดีกว่าคนรุ่นก่อน รวมทั้งความอยากรู้อยากเห็นและการแสวงหาคำตอบของมนุษย์ว่าเรานั้นเป็นสิ่งมีชีวิตแบบมนุษย์นี้มีเพียงหนึ่งเดียวในจักรวาลหรือเปล่า?
(บทวิจารณ์ภาพยนตร์โดยนีธิกาญจน์ กำลังวรรณ)