คำประกาศชักชวนของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ให้หนุ่มสาวชาวอเมริกันมาสมัครเป็นทหาร ตลอดจนการนำรถถังและเครื่องบินรบออกมาจัดแสดงโชว์กลางกรุงวอชิงตัน เพื่อเฉลิมฉลองวันชาติอเมริกาในสัปดาห์ที่ผ่านมา ดูจะไม่เพียงพอที่จะพลิกสถานการณ์ของกองทัพสหรัฐฯ ที่ประสบภาวะขาดแคลนทหารใหม่
ถึงแม้ในปีที่ผ่านมา กองทัพเรือ กองทัพอากาศ และเหล่านาวิกโยธินสหรัฐฯ จะสามารถสรรหาทหารใหม่ได้ตรงตามเป้า แต่กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ รายงานว่า กองทัพบก ซึ่งเหล่าทัพที่ใหญ่ที่สุด กลับประสบภาวะขาดทหารใหม่ถึง 6,500 คน หรือประมาณร้อยละ 8 ของยอด 76,500 คนที่ตั้งไว้
ข้อมูลจากรายงาน Mission: Readiness ในปีที่ผ่านมา ที่จัดทำโดยนายพลเกษียณอายุจากทุกเหล่าทัพจำนวน 750 คน พบว่า 2 ใน 3 ของหนุ่มสาวอเมริกันที่มีอายุระหว่าง 17-24 ปี ขาดคุณสมบัติขั้นพื้นฐานที่จะเข้าเป็นทหาร
สาเหตุหลัก มาจาก “ภาวะโรคอ้วน” โดยรายงานระบุว่า 1 ใน 3 ของเยาวชนอเมริกันขาดคุณสมบัติเพราะมีน้ำหนักตัวเกิน นอกจากนี้ ยังมีสาเหตุอื่น ๆ เช่น การขาดวุฒิการศึกษา การมีประวัติการก่ออาชญากรรม และการใช้สารเสพติด
พลเอก Allen Youngman นายพลเกษียณอายุและหนึ่งในผู้จัดทำรายงาน Mission: Readiness บอกว่า หนึ่งในสี่ของนักเรียนที่จบมัธยมปลาย สอบไม่ผ่านข้อสอบพื้นฐานสำหรับการเข้าเป็นทหาร
นอกจากนี้ หนุ่มสาวชาวอเมริกันที่สนใจอาชีพทหารก็มีจำนวนน้อยลง พลเอก Youngman บอกว่าการที่สหรัฐฯ มีเศรษฐกิจดี มีการจ้างงานในภาคเอกชนสูง ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนไม่ค่อยสนใจการเป็นทหาร
พลเอก Youngman ยังบอกว่า การลดหย่อนคุณสมบัติ โดยเฉพาะเรื่องวุฒิการศึกษา หรือประวัติการก่อคดีอาชญากรรม ไม่ใช่ทางออก เพราะกองทัพต้องรักษามาตรฐานเอาไว้ แต่กองทัพจะต้องทำงานให้มากขึ้นเพื่อสรรหาคนที่มีคุณสมบัติครบถ้วน
แต่นับวัน การสรรหาทหารใหม่มีแนวโน้มที่จะยากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะภาวะโรคอ้วนเป็นปัญหาใหญ่ของสหรัฐฯ ในจำนวนเด็กอเมริกันที่มีอายุเพียง 2 ขวบ มีถึงร้อยละ 14 ที่ถือได้ว่าเข้าสู่ภาวะโรคอ้วนแล้ว และอัตราส่วนนี้ก็จะยิ่งเพิ่มสูงขึ้น เกือบครึ่งหนึ่งของวัยรุ่นอเมริกันอายุ 16-19 ปี มีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน และ ร้อยละ 70 ของวัยรุ่นที่มีน้ำหนักเกิน ก็จะเติบโตขึ้นไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วนในที่สุด
พลเอก Youngman บอกว่าทางออกหนึ่ง คือการหันมาใส่ใจและส่งเสริมให้เยาวชนอเมริกันได้รับสารอาหารครบถ้วน ไม่ใช้ชีวิตเฉื่อยชา ซึ่งไม่เพียงแต่จะเป็นผลดีต่ออนาคตของกองทัพ แต่ยังดีต่อสังคมและสุขภาพของทุกคนด้วย