เฮนรี คิสซิงเจอร์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ผู้ถึงแก่กรรมเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ถูกจดจำไปทั่วโลกในฐานะอัจฉริยะด้านนโยบายการต่างประเทศในยุคสงครามเย็น ผู้ผลักดันจีนให้เข้าสู่ประชาคมโลก และมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจโลกในเวลานั้นด้วย
ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การทำงานของคิสซิงเจอร์ในฐานะที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติและรัฐมนตรีต่างประเทศในยุคของประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน ได้ส่งผลกระทบต่อการเมืองของหลายประเทศจวบจนปัจจุบัน
ไทย
สำหรับประเทศไทย อดีตนายกรัฐมนตรี อานันท์ ปันยารชุน กล่าวกับวีโอเอภาคภาษาไทย เมื่อเดือนพฤษภาคมปีนี้ ในโอกาสครบรอบวันคล้ายวันเกิด 100 ปีของเฮนรี คิสซิงเตอร์ ว่า "ตอนนั้นคนไทยจำนวนไม่น้อยไม่เข้าใจเมืองจีน ถือว่าจีนเป็นคอมมิวนิสต์ คบไม่ได้" ซึ่งนโยบายเปิดประตูสู่จีนของคิสซิงเจอร์ได้ช่วยสร้างแรงกระเพื่อมต่อไทยในส่วนนี้ด้วย รวมทั้งความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ที่มุ่งเน้นด้านการทหารมากกว่าการทูต
อินโดจีน
ในเวียดนาม กัมพูชา และลาว คิสซิงเจอร์ถูกจดจำในฐานะผู้จัดวางกลยุทธ์สงครามที่นำไปสู่การทำลายและการสังหารประชาชนจำนวนมาก
แลร์รี เบอร์แมน ศาสตราจารย์กิตติคุณแห่งมหาวิทยาลัยแห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตเดวิส (University of California, Davis) ผู้เชี่ยวชาญเรื่องสงครามเวียดนาม กล่าวกับวีโอเอภาคภาษาเวียดนามว่า "หากเราพูดถึงเฉพาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การตัดสินใจของคิสซิงเจอร์ในแถบนี้ถือเป็นหายนะต่อประชาชนบริสุทธิ์หลายแสนคน ไม่ว่าเขาจะฉลาดล้ำแค่ไหน หรือมีความเก่งกาจด้านการเจรจาแค่ไหนก็ตาม" และว่า "นั่นคือคำตัดสินทางประวัติศาสตร์ที่มีต่อเขา"
ในช่วงสงครามเวียดนามระหว่างปี 1965 - 1975 สหรัฐฯ และชาติพันธมิตรได้ทิ้งระเบิดรวมน้ำหนักมากกว่า 7.5 ล้านตันใส่เวียดนาม ลาว และกัมพูชา ซึ่งมากกว่าปริมาณระเบิดที่ใช้ในยุโรปและเอเชียในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองถึงสองเท่า อ้างอิงจากข้อมูลในเว็บไซต์ Storymaps
นักวิเคราะห์ชี้ว่า นโยบายต่างประเทศของคิสซิงเจอร์ที่มีเป้าหมายปราบปรามคอมมิวนิสต์ในเวียดนามเหนือซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสหภาพโซเวียตและจีน คือสาเหตุที่ทำให้ประชาชนหลายแสนคนต้องจบชีวิตลงด้วย
ระหว่างปี 1964 - 1973 กองทัพสหรัฐฯ ทิ้งระเบิดรวม 2,500 ล้านลูกใส่ลาว โดยมีเป้าหมายทำลายพื้นที่เรียกว่า "โฮจิมินห์เทรล" ซึ่งเป็นเส้นทางที่กองทัพเวียดนามเหนือใช้ลำเลียงกำลังพลและอาวุธไปยังเวียดนามใต้ ทำให้ลาวกลายเป็นประเทศที่ถูกถล่มด้วยระเบิดมากที่สุดในโลกอ้างอิงจากเว็บไซต์ Legacies of War และทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายหมื่นคน
กัมพูชา
เอริน ลิน ผู้ช่วยศาสตราจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยโอไฮโอ สเตท (Ohio State University) เขียนไว้ในหนังสือชื่อ "When the Bombs Stopped" ว่า สหรัฐฯ ทิ้งระเบิดราว 500,000 ลูกใส่กัมพูชาในช่วงที่ปฏิบัติการของซีไอเอขยายจากลาวเข้าไปที่กัมพูชา ซึ่งคาดว่าทำให้มีประชาชนเสียชีวิตราว 150,000 คน ตามข้อมูลจาก เบน เคียร์แนน นักประวัติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเยล (Yale University)
โครงการศึกษาด้านการสังหารล้างเผ่าพันธุ์ ของมหาวิทยาลัยเยล ระบุว่า การทิ้งระเบิดอย่างหนักหน่วงของสหรัฐฯ ในกัมพูชา ในช่วงสงครามเวียดนาม ทำให้ประชาชนจำนวนมากหันไปเข้าร่วมกับกลุ่มแข็งข้อต่อต้าน จนนำไปสู่การรัฐประหารในปี 1970 และการขึ้นสู่อำนาจของกองกำลังเขมรแดง จนกระทั่งถึงเหตุการณ์สังหารล้างเผ่าพันธุ์ชาวกัมพูชา
กองทัพสหรัฐฯ เดินทางออกจากเวียดนามเมื่อปี 1973 แต่ 50 ปีหลังจากนั้น ยังคงมีการพบระเบิดที่ไม่ทำงานจำนวนมากในเวียดนาม ลาว และกัมพูชา
รอส จันทราบต นักประวัติศาสตร์เขมรและที่ปรึกษาของอดีตนายกรัฐมนตรีฮุน เซน กล่าวกับวีโอเอภาคภาษาเขมรว่า "เฮนรี คิสซิงเจอร์ ต้องรับผิดชอบต่อการดึงกัมพูชาเข้าร่วมในสงคราม ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากมาย และมีระเบิดตกค้างในกัมพูชาจวบจนปัจจุบัน"
โสพาล เอียร์ นักรัฐศาสตร์อเมริกันเชื้อสายกัมพูชา กล่าวกับสื่อวอชิงตันโพสต์ว่า "ความจริงที่น่าเศร้าคือ เขาทิ้งมรดกเอาไว้ซึ่งชาวกัมพูชาจำนวนมากต้องเป็นผู้ชดใช้" และ "ทุกวันนี้ ยังคงมีประชาชนที่สูญเสียอวัยวะต่าง ๆ หรือเสียชีวิตจากความพยายามดำเนินชีวิตของพวกเขาบนพื้นที่ที่เต็มไปด้วยระเบิด"
ติมอร์ตะวันออก
แบรด ซิมป์สัน ศาสตราจารย์คณะประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งรัฐคอนเนคติคัต (University of Connecticut) กล่าวว่า คิสซิงเจอร์คือผู้รับผิดชอบต่อการสนับสนุนให้อินโดนีเซียรุกรานติมอร์ตะวันออกในปี 1975 ด้วย
โดยอินโดนีเซียให้เหตุผลในเวลานั้น การควบรวมติมอร์ตะวันออกคือสิ่งจำเป็นเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของลัทธิคอมมิวนิสต์ ซึ่งการรุกรานครั้งนั้นทำให้เกิดการนองเลือดยาวนานในติมอร์ตะวันออกก่อนที่จะสิ้นสุดลงเมื่อปี 1999 เมื่อมีการส่งกองกำลังสันติภาพระหว่างประเทศเข้าไปเพื่อรับมือสถานการณ์
ศาสตราจารย์ซิมป์สัน กล่าวกับวีโอเอภาคภาษาอินโดนีเซียว่า "เมื่อคิสซิงเจอร์พ้นจากตำแหน่งในปี 1977 อินโดนีเซียได้สังหารประชาชนไปราว 1 ใน 10 ของติมอร์ตะวันออก" ซึ่งข้อมูลจากธนาคารโลกชี้ว่า ณ เวลานั้น ติมอร์ตะวันออกมีประชากรราว 620,000 คน
- ที่มา: วีโอเอ