ตัวเต็งผู้ที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้บริหารสูงสุดคนใหม่ของฮ่องกงประกาศความพร้อมที่จะทำการฟื้นฟูศูนย์การธุรกิจของเอเชียแห่งนี้ให้รุ่งเรืองดังเช่นในอดีต แต่ไม่ส่งสัญญาณใด ๆ เกี่ยวกับการยุตินโยบาย “โควิดเป็นศูนย์” ที่เป็นสาเหตุของการตัดเขตบริหารพิเศษของจีนนี้ออกจากโลกภายนอกมาตลอดช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
จอห์น ลี อดีตนายตำรวจอาวุโสและหัวหน้าหน่วยงานด้านความมั่นคงของฮ่องกง คือ ผู้ที่ได้รับการคาดหมายว่า สมาชิกคณะกรรมการกว่า 1,500 คนที่ส่วนใหญ่เป็นผู้สนับสนุนรัฐบาลกรุงปักกิ่งจะเลือกให้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้บริหารสูงสุดคนใหม่ต่อจาก แครี แลม ในวันที่ 8 พฤษภาคมนี้
เส้นทางการขึ้นมาเป็นผู้บริหารสูงสุดฮ่องกงของ ลี นั้นเปิดกว้างอย่างเต็มที่ เนื่องจาก ไม่มีผู้สมัครคนอื่นลงชิงชัยด้วยเลย ซึ่งหลายฝ่ายมองว่า เป็นเพราะสถานการณ์ความขัดแย้งมากมายในฮ่องกงที่ยังไม่ได้รับการคลี่คลาย โดยเฉพาะ ประเด็นการประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตย การควบคุมเสรีภาพทางการเมือง และแผนงานรับมือกับการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ที่ทำให้ผู้คนและธุรกิจทั้งหลายในฮ่องกงต้องถูกตัดขาดจากประชาคมโลกมากว่า 2 ปี
เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามว่า เมื่อไหร่ ฮ่องกงจะเปิดประตูรับโลกภายนอกอีกครั้ง ลี ตอบว่า “โควิดจะไม่ได้อยู่กับเราตลอดไป และเมื่อถึงจุด ๆ หนึ่ง ทุกอย่างก็จะถูกควบคุมได้สำเร็จ” และว่า “สิ่งสำคัญก็คือ เราจะต้องทำทุกอย่างอย่างมีสมดุล”
ในเวลานี้ จีน คือประเทศขนาดใหญ่เพียงแห่งเดียวที่ยังยึดมั่นในการดำเนินนโยบายไม่ยอมรับภาวะการระบาดใด ๆ ทั้งสิ้น แม้ว่า จะมีกรณีการพบเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่โอมิครอนฝ่าด่านคุมเข้มต่าง ๆ ไประบาดในหลายชุมชนของประเทศ ซึ่งรวมถึง ฮ่องกง แล้วก็ตาม
รายงานข่าวระบุว่า ภาวะการระบาดของเชื้อโอมิครอนในฮ่องกงนั้นน่าจะมาถึงช่วงท้ายแล้ว โดยนับตั้งแต่มีการพบเชื้อไวรัสสายพันธุ์ย่อยนี้ มีประชาชนในฮ่องกงเสียชีวิตไปแล้วราว 9,000 คน
และในการเตรียมตัวเข้ารับตำแหน่งผู้บริหารเกาะที่น่าจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ ลี ออกแถลงการณ์ความยาว 44 หน้าที่มีรายละเอียดแจกแจงแผนฟื้นฟูฮ่องกง พร้อมชูคำขวัญ “มาเริ่มต้นบทใหม่ของฮ่องกงด้วยกัน” หลายฝ่ายมองว่า นโยบายที่ว่าที่ผู้บริหารสูงสุดคนใหม่นำเสนอนั้นไม่ได้มีการพูดถึงการเปลี่ยนแปลงอันมีนัยสำคัญมากมาย จากสิ่งที่รัฐบาลฮ่องกงชุดปัจจุบันดำเนินอยู่ ซึ่งก็คือ การทำตามสิ่งที่กรุงปักกิ่งชี้แนะมา
ทั้งนี้ ลี คือ หนึ่งในผู้อยู่เบื้องหลังการปราบปรามการประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยในฮ่องกงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และอยู่ในรายชื่อเจ้าหน้าที่รัฐบางฮ่องกงและจีนที่สหรัฐฯ สั่งลงโทษไว้ด้วย
และในวันศุกร์ ลี ประกาศว่า ตนจะผลักดันใหัมีการออกกฎหมายใหม่ที่มุ่งเน้นการจัดการเหตุอาชญากรรมต่าง ๆ ซึ่งสะท้อนภาพการยกระดับกฎหมายความมั่นคงที่กรุงปักกิ่งประกาศใช้ในเขตบริหารพิเศษแห่งนี้เมื่อปี ค.ศ. 2020 ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า เป็นความพยายามปราบปรามผู้เห็นต่างของจีน
ขณะเดียวกัน รัฐบาลฮ่องกงออกแถลงการณ์ในวันศุกร์เกี่ยวกับแผนผ่อนคลายมาตรการกักตัวเฝ้าระวังอาการภายในห้องพักของโรงแรมสำหรับลูกเรือของสายการบินทุกแห่งจาก 7 วันในปัจจุบัน เป็น 3 วัน และยกเว้นการบังคับใช้มาตรการนี้สำหรับลูกเรือเที่ยวบินขนส่งสินค้า พร้อมทั้ง ยกเลิกคำเตือนสำหรับการเดินทางออกนอกประเทศ ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมนี้เป็นต้นไป ตามรายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์
แถลงการณ์อีกฉบับของทางการฮ่องกงระบุว่า “สถานการณ์การระบาดในต่างประเทศที่มีการเดินทางเชื่อมต่อเป็นประจำกับฮ่องกงนั้นเริ่มเข้าสู่ขาลงมาสักระยะแล้ว … ความเสี่ยงจากการเดินทางไปต่างประเทศก็ลดลงตามไปด้วยเช่นกัน”
ฮ่องกงได้ชื่อว่าเป็นพื้นที่ที่มีการบังคับใช้มาตรการควบคุมโควิด-19 ที่เข้มงวดที่สุดในโลก โดยผู้ที่ไม่มีถิ่นพำนักในฮ่องกงเพิ่งจะได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้าเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 2 ปี ในเดือนหน้านี้เอง
ขณะเดียวกัน ทางการฮ่องสั่งผ่อนคลายมาตรการอื่น ๆ ด้วย เช่น กฎควบคุมเที่ยวบินขาเข้าที่เคยมีเงื่อนไขว่า หากเที่ยวบินใดพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป เที่ยวบินอื่นๆ ของสายการบินนั้นๆ จะต้องถูกห้ามบินเข้าเป็นการชั่วคราว โดยมีการปรับตัวเลขนี้ขึ้นเป็น 5 คนแทนแล้ว ส่วนจำนวนวันของการห้ามบินเข้าก็มีการลดจาก 7 วัน ลงมาเป็น 5 วัน ซึ่งทั้งหมดจะมีผลตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป
ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายวันในฮ่องกงลดลงมาอยู่ที่ระดับเฉลี่ยไม่ถึง 1,000 คน ซึ่งเป็นการลดลงอย่างมากจากระดับกว่า 70,000 คนที่บันทึกได้เมื่อวันที่ 3 มีนาคม
- ข้อมูลบางส่วนมาจากรอยเตอร์