บริษัทผู้ให้บริการเช่ารถชั้นนำ Hertz ยื่นเรื่องขอประกาศภาวะล้มละลายหลังธุรกิจหยุดชะงักหนัก เนื่องจากการระบาดของโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ และยังไม่ประสบความสำเร็จในการเจรจากับเจ้าหนี้เพื่อขอความช่วยเหลือ
บริษัท Hertz Global Holdings Inc ซึ่งมีอายุเก่าแก่กว่า 100 ปี ยื่นเรื่องต่อศาลในสหรัฐฯ ขอฟื้นฟูกิจการตามกฎหมายล้มละลายเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา หลังรัฐบาลประกาศจำกัดการเดินทางและสั่งให้ประชาชนอยู่แต่ในเคหะสถานเพราะวิกฤติโควิด-19 ซึ่งส่งผลให้บริษัทสูญเสียรายได้จากการให้เช่ารถตามสนามบินต่างๆ ไปจนหมด
รายงานข่าวระบุว่า Hertz มีภาระหนี้สินอยู่ที่เกือบ 19,000 ล้านดอลลาร์ และมีการจ้างงานอยู่ราว 38,000 ตำแหน่งทั่วโลก ณ สิ้นปี 2019 โดยการประกาศภาวะล้มละลายนี้ทำให้ Hertz ได้ชื่อว่าเป็นบริษัทที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกแห่งหนึ่งที่ถูกกระทบหนักจากวิกฤติสาธารณสุขนี้
ทั้งนี้ บริษัทไม่สามารถยื่นเรื่องขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลสหรัฐฯ ได้เหมือนกับกรณีของสายการบินต่างๆ ที่ได้รับเงินกู้ช่วยเหลือมูลค่าหลายหมื่นล้านดอลลาร์ไปพยุงฐานะกิจการเรียบร้อยแล้ว ขณะที่การเจรจากับเจ้าหนี้เพื่อผ่อนผันการชำระค่าเช่าซื้อรถไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นแต่อย่างใด
ความรุนแรงของปัญหาธุรกิจเช่ารถของ Hertz นั้นส่วนหนึ่งมาจากโครงสร้างการหมุนเงินของบริษัทที่มีการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์และนำเงินที่ได้ไปซื้อรถมาให้บริษัทในเครือผู้ดูแลกิจการปล่อยเช่าให้ Hertz ที่มีหน้าที่ต้องส่งเงินรายเดือนเป็นค่าเช่าซึ่งพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่มูลค่ารถตกลง
ก่อนหน้าจะเกิดวิกฤติโควิด-19 ธุรกิจของ Hertz เริ่มมีปัญหามาแล้วจากการที่ผู้บริโภคให้ไปใช้บริการอื่นๆ เช่น Uber จนทำให้บริษัทต้องเร่งพัฒนาบริการและแอพสำหรับมือถือเพื่อดึงดูดลูกค้ามากขึ้น
อย่างไรก็ดี การยื่นเรื่องขอประกาศภาวะล้มละลายของ Hertz ครั้งนี้ไม่มีผลต่อส่วนงานธุรกิจในภูมิภาคอื่นๆ ซึ่งรวมถึง ยุโรป ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์