สหภาพยุโรปยินยอมทางหลักการที่จะรับข้อเสนอให้ใช้เงินจากสินทรัพย์ของรัสเซียในยุโรปที่ถูกอายัดไว้เพื่อใช้จัดหาอาวุธส่งให้กับยูเครน โดยมีแผนจะจัดเงินก้อนแรกเพื่อหาซื้อยุทโธปกรณ์ภายในฤดูร้อนนี้ แม้ว่ารัฐบาลกรุงวอชิงตันจะร้องขอให้อียูดำเนินการขึ้นรุนแรงกว่านั้นและทำการยึดสินทรัพย์มูลค่าหลายแสนล้านดอลลาร์ของรัสเซียเพื่อช่วยกรุงเคียฟไปเลย
อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่อียูหลายรายออกมาแสดงความคิดเห็นเชิงบวกเกี่ยวกับเรื่องนี้ เช่น เออร์ซูลา ฟ็อน แดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ที่โพสต์ข้อความทางแพลตฟอร์มเอ็กซ์ (X) ในวันพฤหัสบดีว่า “คงไม่มีสัญลักษณ์ใดที่เข้มแข็งไปกว่านี้ และคงไม่มีวิธีใช้เงินให้เป็นประโยชน์มากกว่าการทำให้ยูเครนและยุโรปทั้งหมดเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยสำหรับการใช้ชีวิตแล้ว”
วาลดิส ดอมบรอฟสกีส์ ข้าหลวงใหญ่ด้านการค้าของอียู โพสต์ข้อความทางเอ็กซ์ ว่า เงินก้อนแรกจำนวน 1,000 ล้านดอลลาร์จะถูกจัดออกมาใช้ภายในฤดูร้อนเพื่อการสนับสนุนทางทหารเป็นหลัก พร้อมระบุว่า “รัสเซียจะได้ชดใช้ต่ออาชาญกรรมของตนโดยตรง”
สินทรัพย์รัสเซียที่ถูกอายัด
สถาบันการเงินและบริษัทหลายแห่งในตะวันตกได้อายัดเงินสดและสินทรัพย์ของธนาคารกลางรัสเซียมูลค่าหลายแสนล้านดอลลาร์ไว้ในยุโรปและสหรัฐฯ หลังมอสโกส่งกองทัพเข้ารุกรานยูเครนเต็มรูปแบบในปี 2022 โดยราว 70% ของสินทรัพย์เหล่านั้นที่มีมูลค่ากว่า 200,000 ล้านดอลลาร์ อยู่ในมือของ Euroclear ซึ่งเป็นบริษัทผู้ให้บริการทางการเงินและเคลียริ่งเฮาส์ในกรุงบรัสเซลส์ที่มีความชำนาญด้านธุรกรรมหลักทรัพย์ข้ามพรมแดนและการจัดเก็บสินทรัพย์
ที่ผ่านมา สหรัฐฯ อังกฤษและแคนาดา ต่างพยายามผลักดันให้มีการยึดสินทรัพย์ทั้งหมดที่ว่าเพื่อนำเงินไปใช้ช่วยกรุงเคียฟต่อสู้กับการรุกรานของรัสเซีย
เมื่อเดือนที่แล้ว รัฐบาลกรุงวอชิงตันเพิ่งผ่านกฎหมายที่เปิดทางให้มีการยึดเงินทุนสำรองระหว่างประเทศของรัสเซียที่อยู่ในสหรัฐฯ เพื่อนำไปใช้ซื้ออาวุธให้ยูเครน
ความระมัดระวังและความกลัวของยุโรป
อย่างไรก็ดี ยุโรปนั้นใช้ความระมัดระวังในการดำเนินแผนงานต่าง ๆ กว่าที่พันธมิตรอื่น ๆ แนะมา โดยทูตอียูทั้งหมดเข้าร่วมการประชุมที่กรุงบรัสเซลส์เมื่อวันพุธตกลงทางหลักการที่จะใช้ดอกเบี้ยซึ่งเกิดจากสินทรัพย์ของรัสเซียเพื่อการสนับสนุนยูเครน
เอียน บอนด์ นักวิเคราะห์ด้านนโยบายต่างประเทศและผู้เชี่ยวชาญด้านรัสเซียจาก Center for European Reform เชื่อว่า กรุงบรัสเซลส์ทำได้มากกว่าที่ทำอยู่ และบอกกับ วีโอเอ ว่า “สิ่งที่อียูกำลังพูดถึงอยู่ คือ การไม่ยึดเงินต้น แต่จะใช้ดอกเบี้ยแทน ซึ่งก็คิดเป็นเงินได้ราว 7,000 หรือ 8,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี และการใช้ดอกผลนี้เพื่อประโยชน์ของยูเครน” และว่า “มันเป็นเงินก้อนโตเลยทีเดียว แต่ก็เป็นก้อนเล็ก ๆ เท่านั้น เมื่อเทียบกับมูลค่าความเสียหายที่รัสเซียทำกับยูเครน และกับเงินที่ยูเครนต้องใช้เพื่อให้บริการต่าง ๆ ของรัฐบาลและการเดินหน้าทำสงครามดำเนินต่อไปได้”
รายงานข่าวระบุว่า ข้อตกลงนี้ของอียูน่าจะได้ลงนามรับรองให้เรียบร้อยที่การประชุมรัฐมนตรีคลังอียูในวันที่ 14 พฤษภาคมนี้
ความกังวลเกี่ยวกับการเอาคืนของรัสเซีย
ในอีกด้านหนึ่ง หลายฝ่ายในยุโรปกลัวว่า แผนของสหรัฐฯ ที่แนะให้มีการยึดสินทรัพย์ทั้งหมดของรัสเซียอาจทำให้เกิดคดีความลากยาวในชั้นศาล และอาจเป็นการสนับสนุนให้ประเทศอื่น ๆ เช่น จีน ทำการขายการลงทุนในสกุลเงินยูโร ซึ่งจะสั่นคลอนเสถียรภาพของสกุลเงินนี้ได้
ส่วนประเทศสมาชิกอียูที่ทำตัวเป็นกลางในกรณีสงครามยูเครน-รัสเซีย เช่น ฮังการีและออสเตรีย ต่างออกมาคัดค้านการใช้ผลกำไรจากสินทรัพย์รัสเซียเพื่อนำไปซื้ออาวุธให้ยูเครน
นอกจากนั้น ยังมีความกังวลในยุโรปว่า มอสโกอาจเอาคืนด้วยการยึดสินทรัพย์ของบริษัทชาติตะวันตกอื่น ๆ ที่ยังดำเนินธุรกิจในรัสเซียอยู่เพิ่มขึ้น แต่ เอียน บอนด์ จาก Center for European Reform จะชี้ว่า รัฐบาลชาติตะวันตกไม่น่าจะรู้สึกสงสารบริษัทเหล่านั้น หากเกิดกรณีการยึดทรัพย์ขึ้นจริง เพราะทั้งหมดนั้นมีเวลาถึง 2 ปีที่จะย้ายออกมาจากตลาดรัสเซีย แต่ก็เลือกจะอยู่ต่อ เพราะคิดว่า การเดินหน้าทำมาหากินต่อในรัสเซียคงไม่มีปัญหา แม้สงครามจะดำเนินต่อมานับปีแล้วก็ตาม
เจ้าหน้าที่อียูหวังว่า ข้อตกลงใช้ดอกเบี้ยของสินทรัพยรัสเซียมาช่วยยูเครนจะได้ข้อสรุปและลงมือทำการได้จริงภายในเดือนมิถุนายนซึ่งเป็นเวลาที่ฮังการีจะรับช่วงการเป็นประธานหมุนเวียนกลุ่ม โดยนักวิเคราะห์ชี้ว่า มีความกังวลว่า นายกรัฐมนตรีวิกเตอร์ ออร์บาน ของฮังการีอาจพยายามสกัดข้อตกลงนี้ไม่ให้มีผลใช้งานได้ เนื่องจากผู้นำรัฐบาลบูดาเปสต์พยายามจะรักษาระดับความใกล้ชิดกับรัสเซียอยู่
- ที่มา: วีโอเอ
กระดานความเห็น