หลายประเทศทางใต้ของยุโรปกำลังพิจารณานำมาตรการคุมเข้มการระบาดกลับมาใช้อีกครั้งสำหรับผู้ที่จะเดินทางเข้าประเทศ หลังจากจำนวนผู้ติดเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์เดลตาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
สเปน โปรตุเกส กรีซ ไซปรัส และมอลตา คือส่วนหนึ่งของประเทศที่เริ่มเปิดธุรกิจและต้อนรับชาวต่างชาติเมื่อต้นปีนี้ แต่ขณะนี้ประเทศเหล่านั้นกำลังเริ่มกลับมาใช้มาตรการที่เข้มงวดขึ้นอีกครั้งกับผู้ที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนโควิดครบสองเข็มจากสองบริษัทที่มีการใช้อย่างแพร่หลายที่สุดในยุโรป คือ ไฟเซอร์ (Pfizer) และแอสตราเซเนกา (AstraZeneca)
ขณะที่ฝรั่งเศส และเยอรมนี ต่างมีคำเตือนพลเมืองของตนที่จะเดินทางไปพักผ่อนที่สเปนและโปรตุเกสในช่วงนี้ และรัฐบาลเยอรมนียังเพิ่มไซปรัสไว้ในรายชื่อ "ประเทศที่น่ากังวล" ซึ่งหมายความว่า ชาวเยอรมันที่ยังไม่ได้รับวัคซีนครบโดสและเดินทางกลับมาจากไซปรัส จะต้องกักตัวเองเพื่อดูอาการเมื่อมาถึงเยอรมนีแล้ว
การตัดสินใจนำมาตรการควบคุมกลับมาใช้ใหม่กำลังสร้างความกังวลให้กับบรรดาธุรกิจการบิน การท่องเที่ยวและโรงแรมต่าง ๆ อีกครั้ง หลังจากที่เริ่มมีความหวังว่าธุรกิจจะฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งได้ในช่วงฤดูร้อนปีนี้
รัฐมนตรีต่างประเทศฝรั่งเศส ฌอง-อีฟส์ เลอ ดรีแอง กล่าวกับผู้สื่อข่าวเมื่อวันศุกร์ที่แล้วว่า "ทุกคนต่างต้องการพักผ่อนในช่วงนี้ แต่การปกป้องสุขภาพคือสิ่งสำคัญที่สุด" ขณะที่โฆษกรัฐบาลฝรั่งเศส กล่าวว่า เชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลตาเป็นอันตรายและสามารถติดต่อได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจทำให้ฤดูร้อนปีนี้กลายเป็นฝันร้ายของหลายคน
ทางด้าน แอนเดรีย อัมมอน ผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของยุโรป หรือ ECDC มีคำเตือนไปยังประเทศต่าง ๆ ในยุโรป ให้ระวังการระบาดของสายพันธุ์เดลตาซึ่งสามารถติดต่อได้ง่ายกว่าสายพันธุ์อื่นราว 60% พร้อมระบุว่า ภายในเดือนสิงหาคม 90% ของเชื้อโคโรนาไวรัสที่แพร่ระบาดในยุโรปจะเป็นสายพันธุ์เดลตา
รายงานชี้ว่า เวลานี้มากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ติดเชื้อรายใหม่ในเยอรมนี เนเธอร์แลนด์ และเบลเยียม เป็นไวรัสสายพันธุ์เดลตา ซึ่งมีการแพร่ระบาดอย่างสูงในกลุ่มผู้ที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน โดย ECDC ชี้ว่า 40% ของประชากรวัยผู้ใหญ่ในประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป ยังไม่ได้รับวัคซีนครบโดส
ทั้ง EU และ ECDC ต่างกระตุ้นให้รัฐบาลประเทศต่าง ๆ ในยุโรปเร่งฉีดวัคซีนให้ประชาชนของตนให้ถึงระดับ 70% โดยเร็ว เพื่อป้องกันการระบาดรอบใหม่ของโควิด-19