คูหาเลือกตั้งในรัฐต่างๆ ของสหรัฐฯ เริ่มเปิดทำการตั้งแต่ 7:00 น. ในวันเลือกตั้ง ส่วนเวลาปิดนั้นจะแตกต่างกันไปตามกฎหมายของมลรัฐ ปีนี้มีผู้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้าแล้วมากถึง 46 ล้านคนจากจำนวนผู้ใช้สิทธิทั้งหมด ซึ่งคาดว่าจะมีราว 80 ถึง 100 ล้านคน
โดยเมื่อวันเลือกตั้งเริ่มขึ้น นางฮิลลารี คลินตัน มีคะแนนนำนายโดนัลด์ ทรัมป์ อยู่โดยเฉลี่ย 2-3 จุด
และในการหาเสียงวันสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง นางฮิลลารี คลินตัน กล่าวว่า เธอจะเป็นประธานาธิบดีสำหรับทุกคน ไม่ว่าคนนั้นจะออกเสียงให้เธอหรือไม่ก็ตาม ส่วนโดนัลด์ ทรัมป์กล่าวว่าชัยชนะของตนจะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงของประเทศ
การเลือกตั้งใหญ่ในสหรัฐฯ ปีนี้ นอกจากการเลือกประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีแล้ว คนอเมริกันยังจะออกเสียงเลือกวุฒิสมาชิก 34 คน จากจำนวน 100 ที่นั่งในสภาสูง ซึ่งมีวาระดำรงตำแหน่ง 6 ปี และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งมีวาระดำรงตำแหน่งคราวละ 2 ปีทั้งสภา 435 คนด้วย
โดยพรรคเดโมแครตต้องการที่นั่งเพิ่มขึ้นในวุฒิสภาอย่างน้อย 4 ที่ เพื่อครองเสียงข้างมากในสภาสูง แต่สำหรับสภาผู้แทนราษฎรนั้นคาดว่าพรรครีพับริกันจะยังสามารถครองเสียงข้างมากได้ต่อไป
อาจารย์ Allan Lichtman นักประวัติศาสตร์การเมืองสหรัฐฯ ชี้ว่าไม่ว่าใครจะชนะการเลือกตั้ง บุคคลนั้นจะมีปัญหาท้าทายรออยู่หลายเรื่อง เช่นหากฮิลลารี คลินตัน ชนะการเลือกตั้ง เธอจะต้องหาทางสมานรอยร้าวและความแตกแยก ซึ่งเกิดขึ้นจากการหาเสียงของทั้งสองฝ่าย และจัดทำนโยบายซึ่งเป็นที่พอใจของฝ่ายที่ต่อต้านเธอ
ส่วนนายโดนัลด์ ทรัมป์ ก็จะต้องลดการใช้โวหารซึ่งสร้างความแตกแยกลง และสรรหาบุคคลที่น่าเชื่อถือเป็นที่ยอมรับเข้าร่วมทำงาน
และไม่ว่าใครที่ชนะเลือกตั้งได้เป็นประธานาธิบดีคนที่ 45 ของสหรัฐฯ ก็จะสร้างประวัติศาสตร์ทั้งสิ้น
กล่าวคือ นางฮิลลารี คลินตัน จะเป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรกของสหรัฐฯ ส่วนนายโดนัลด์ ทรัมป์ ถ้าชนะการเลือกตั้งก็จะเป็นนักธุรกิจคนนอกรายแรก ผู้ไม่เคยมีประสบการณ์ด้านการบริหารงานภาครัฐ หรือเคยผ่านการเลือกตั้งมาก่อนที่จะได้เป็นผู้นำอำนาจฝ่ายบริหารของสหรัฐฯ