รายงานล่าสุดจากรัฐบาลสหรัฐฯ ระบุ ตัวเลขคนว่างงานทั่วประเทศพุ่งสูงต่อเนื่อง ในภาวะที่ธุรกิจจำนวนมากยังปิดทำการเพราะการระบาดของโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่
รัฐบาลสหรัฐฯ เปิดเผยรายงานล่าสุดในวันพฤหัสบดีตามเวลาท้องถิ่น ว่ามีผู้ยื่นเรื่องแสดงตนว่าถูกเลิกจ้างและกลายเป็นคนว่างงานเพิ่มขึ้นอีกกว่า 4.4 ล้านคนในสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่งผลให้ตัวเลขรวมในช่วง 5 สัปดาห์นับตั้งแต่มีการระบาดของโควิด-19 เป็นวงกว้าง เพิ่มเป็นกว่า 26 ล้านคนแล้ว
สถานการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ในเวลานี้ คนอเมริกันทุกๆ 6 คนจะมีคนว่างงาน 1 คน นับตั้งแต่กลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นสถิติการปลดคนงานและเลิกจ้างที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ และนักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่า อัตราการว่างงานในประเทศประจำเดือนเมษายนน่าจะสูงถึง 20 เปอร์เซ็นต์
ปัญหาการว่างงานในสหรัฐฯ ในปัจจุบัน ทำให้เศรษฐกิจของประเทศอยู่ในภาวะวิกฤติที่เลวร้ายที่สุด นับตั้งแต่ช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ หรือ The Great Depression ในช่วงทศวรรษที่ 1930 ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์บางรายประเมินว่า ผลผลิตประชาชาติของสหรัฐฯ อาจจะหดตัวหนักกว่าเมื่อช่วงเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่ที่สิ้นลงไปเมื่อปี ค.ศ. 2009
ผลกระทบของวิกฤติโควิด-19 ต่อสภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่งผลให้เกิดการประท้วงรัฐบาลในบางรัฐ กดดันให้มีคำสั่งยกเลิกมาตรการควบคุมและจำกัดต่างๆ เพื่อให้ภาคธุรกิจเปิดทำการได้อีกครั้ง
ทั้งนี้ ผู้ว่าการรัฐบางรายประกาศเริ่มผ่อนคลายมาตรการบางอย่าง แม้หน่วยงานด้านสาธารณสุขจะออกมาเตือนว่าการทำเช่นนั้น โดยไม่มีความพร้อมด้านการแพทย์อาจทำให้เกิดการระบาดรอบใหม่
อย่างไรก็ดี รายงานข่าวระบุว่า การที่ธุรกิจบางประเภทเริ่มเปิดทำการได้อีกครั้ง ไม่ได้หมายความว่าอัตราการว่าจ้างงานจะเพิ่มขึ้น เพราะผู้คนส่วนใหญ่ยังเลือกที่จะอยู่แต่ในบ้านตามคำสั่งของทางการ และเชื่อว่าการรักษาระยะห่างทางสังคมยังคงเป็นสิ่งที่ควรทำเพื่อความปลอดภัย
นอกจากนั้น การที่ธุรกิจขนาดเล็กจำนวนมากไม่สามารถกู้ยืมเงินผ่านโครงการช่วยเหลือของรัฐมาพยุงตัวได้ อัตราการว่างงานในสหรัฐฯ น่าจะยังเพิ่มขึ้นได้อีก