การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศสหรัฐฯและประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกมีความแตกต่างกัน ที่เห็นได้ชัดคือตัวเลขผู้ติดเชื้อ อย่างในประเทศมาเลเซีย ตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นในเดือนมีนาคมและทำสถิติสูงสุดที่ 8,800 ราย ก่อนจะปรับลงมาอยู่ในหลักสิบช่วงเดือนมิถุนายน และไม่เคยกลับไปสร้างสถิติที่สูงอีกเลย ในขณะที่ประเทศสหรัฐฯ ตัวเลขผู้ติดเชื้อเริ่มมากขึ้นในเดือนมีนาคม และปรับสูงขึ้นไปอีกในเดือนมิถุนายน กลายเป็นหนึ่งในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดของประเทศ
ประเทศมาเลเซีย คือหนึ่งในตัวอย่างของประเทศในแถบภูมิภาคเอเชียตะวันออกที่ประสบความสำเร็จในการยับยั้งโควิด-19 โดยนักวิเคราะห์ชี้ว่ามาจากมาจากการที่คนในสังคมพยายามที่จะป้องกันเชื้อ ไม่ให้แพร่ไปสู่บุคคลอื่น รวมทั้งมีความเชื่อมั่นในคำสั่งจากรัฐบาลของตนเอง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ อาจเป็นปัจจัยสำคัญ ที่ไม่พบในสังคมของประเทศอเมริกา
ช่วงที่ผ่านมา คนอเมริกันมีทีท่าไม่ให้ความร่วมมือในมาตรการล็อคดาวน์ อีกทั้งเรียกร้องให้ยุติคำสั่งดังกล่าว นำไปสู่การคลายล็อคในช่วงเดือนมิถุนายน และทำให้ยอดผู้ติดเชื้อพุ่งสูงขึ้นอีกรอบ ส่วนเรื่องการสวมหน้ากากอนามัย ทางผู้นำสหรัฐฯ ก็เพิ่งออกมาแสดงความเห็นด้วยในช่วงสัปดาห์นี้หลังจากแสดงการต่อต้านมาเป็นเวลาหลายเดือน
ในขณะที่เรื่องเหล่านี้ทั้งการสวมใส่หน้ากากและรักษาระยะห่างทางสังคมเป็นเรื่องที่คนในประเทศแถบเอเชียทำตาม โดยภาครัฐฯไม่จำเป็นต้องตักเตือนมากนัก
รองศาสตราจารย์ Alan Chong จากวิทยาลัยนานาชาติศึกษา เอส ราชา รัตนัม ชี้ว่า “วัฒนธรรม” คือสิ่งที่ทำให้ประเทศในแถบเอเชียตะวันออกประสบความสำเร็จในประเด็นนี้ เขาอธิบายเพิ่มเติมว่าสังคมตะวันออกจะมีรูปแบบวัฒนธรรมที่คนในสังคมจะให้ความสำคัญกับกลุ่มคนรอบข้าง แม้ว่าบางคนอาจจะไม่เชื่อถือในรัฐบาลของตนเอง แต่พวกเขาก็จะปฏิบัติตัวทำตามคำสั่งจากภาครัฐฯ อย่างเช่นการล็อคดาวน์ให้อยู่ที่บ้าน เพราะสิ่งนี้สอดคล้องกับความเชื่อวัฒนธรรมส่วนรวม
ทาง Ibrahim Suffian ผู้อำนวยการศูนย์จัดทำผลสำรวจ Merdeka Center บอกว่าคนในประเทศมาเลเซียราวร้อยละ 95 ปฏิบัติตามทันทีที่รัฐบาลประกาศคำสั่งออกมา เขาบอกว่าเป็นเรื่องยากที่คนมาเลเซียจะทำความเข้าใจคนอเมริกัน เพราะความเชื่อมั่นที่คนในประเทศมีต่อฝ่ายปกครองและผู้เชี่ยวชาญอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง เขาแสดงความเห็นว่าคนในประเทศสหรัฐฯกำลังขาดความเชื่อมั่นในรัฐบาล
นอกจากนี้ Frederick Burke ผู้ที่ทำงานด้านกฏหมายในประเทศเวียดนามแสดงความเห็นว่า การสวมหน้ากากอนามัยไม่ใช่เรื่องที่เป็นคำสั่งเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของความสำนึก ไม่ใช่เราป้องกันตนเอง แต่เราควรป้องกันไม่แพร่เชื้อให้ผู้อื่น หน้ากากอนามัยจะช่วยยับยั้งหากเรากำลังเป็นพาหะ
ในปัจจุบันประเทศเวียดนาม มียอดผู้ติดเชื้อเพียงแค่ 401 คนและไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต โดยในช่วงต้นปีนี้ ประเทศเวียดนามได้ดำเนินนโยบายจำกัดคนที่จะเดินทางเข้าประเทศ และทำการติดตามผู้ที่สงสัยว่าอาจจะติดเชื้อ เพื่อระงับไม่ให้เกิดการกระจายในวงกว้าง อย่างไรก็ดี Derek Grossman นักวิเคราะห์อาวุโสจาก Rand Corp บริษัทที่ทำวิจัยในประเทศสหรัฐฯ แสดงความไม่เชื่อมั่นข้อมูลที่เปิดเผยจากรัฐบาลเวียดนาม โดยเขาชี้ว่าอาจจะมีการปกปิดข้อมูล และตัวเลขที่รายงานอาจจะไม่ตรงกับความเป็นจริง
ที่ผ่านมาประเทศทั้งในโลกตะวันตกและตะวันออกมีปฏิสัมพันธ์ในทิศทางที่ดีเมื่อต้องรับมือกับโควิด-19
ในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ไมค์ พอมเพโอได้ร่วมมือกับ 10 ประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรือกลุ่มอาเซียน เพื่อร่วมมือกันในเชิงกลยุทธ์ ในการยับยั้งไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ ส่วนในช่วงกลางเดือนกรกฎาคม รองประธานคณะกรรมาธิการกิจการต่างประเทศของสหรัฐฯได้กล่าวชื่นชมกลุ่มประเทศตะวันออกเฉียงใต้ที่ได้แบ่งปัน “บทเรียนและประสบการณ์” ในการรับมือเชื้อโควิด-19
นอกจากนี้ในเดือนพฤษภาคม สื่อในแถบเอเชียได้รายงานข่าวประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์แสดงความขอบคุณนายกรัฐมนตรีของประเทศเวียดนาม ที่ได้ส่งมอบสิ่งจำเป็นด้านการแพทย์ รวมทั้งหน้ากากอนามัยให้กับประเทศสหรัฐฯ