เมื่อราวครึ่งปีก่อนหลายประเทศทั่วโลกต่างตั้งตัวไม่ติดกับการแพร่ระบาดของโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ และได้รับมือด้วยมาตรการต่างๆมากมาย ทั้งล็อคดาวน์บริเวณที่เสี่ยง รณรงค์เรื่องการรักษาระยะห่าง และใช้เทคโนโลยีระบุพิกัดผู้ติดเชื้อเพื่อแจ้งเตือนถึงการระบาด
หลายประเทศเดินทางผ่านวิกฤตครั้งใหญ่และสามารถลดจำนวนผู้ป่วยใหม่ลงได้อย่างเห็นผลชัดเจน ทั้งในเอเชียตะวันออก และในยุโรป
สำหรับเอเชีย สื่อสหรัฐฯเช่น Wall Street Journal และ ABC News ได้กล่าวถึงความสำเร็จของเกาหลีใต้ ที่มีระบบติดตามผู้แพร่โควิด-19 และมาตรการอื่นๆที่ลดการแพร่ของโรคได้ดี และเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว New York Times ก็ได้กล่าวว่าปัจจัยต่างๆของไทยช่วยลดการระบาดของโควิด-19 ได้อย่างได้ผล
สิ่งที่ทำให้คนจำนวนมากประหลาดใจ คือสหรัฐฯ ยังคงไม่สามารถลดการระบาดได้ ทั้งๆ ที่อเมริกาเป็นประเทศที่มีชื่อเสียงด้านระบบสาธารณสุข เทคโนโลยีการแพทย์ และองค์ความรู้ด้านโยบายระดับเเนวหน้าของโลก
นอกจากจะเป็นประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลกแล้ว อเมริกายังมีความพร้อมในการรับมือกับโรคระบาดติดอันดับหนึ่งของโลกด้วย ตามรายงาน Global Health Security Index เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว
หนังสือพิมพ์ Washington Post สัมภาษณ์บุคคลากรด้านสาธารณสุข และฝ่ายการเมืองในอเมริกา รวมทั้งเก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้อง และสรุปว่าปัญหาที่สกัดกั้นมิให้อเมริกาประสบความสำเร็จ ประกอบด้วย โครงสร้างการตัดสินในด้านนโยบายที่กระจายสู่ระดับมลรัฐ ความไม่ต่อเนื่องของแนวทางจากบุคคลระดับผู้นำสู่ระดับท้องถิ่น งบประมาณด้านสาธารณสุขที่ต่ำลง ช่องว่างทางเศรษฐกิจในสังคม และการแบ่งขั้วทางการเมืองที่ส่งผลต่อการปฏิบัติตัวในการป้องกันการระบาด
หลังจากการระบาดขั้นวิกฤตที่นิวยอร์กเมื่อต้นปี ขณะนี้การเพิ่มขึ้นของผู้ติดเชื้อใหม่รัฐทางใต้ เช่น ฟลอริดาและ เท็กซัส สะท้อนถึงสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงต่อเนื่อง
ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า การเร่งเปิดภาคเศรษฐกิจและสังคม คือเป็นการประเมินสถานการณ์ที่ผิด
ในรายงานของ Washington Post ฟรานซิส คอลลินส์ ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพแห่งชาติของอเมริกา National Institutes of Health หรือ NIH กล่าวว่าสหรัฐฯขาดการสานต่อความมุ่งมั่นที่เคยพยายามลดการแพร่ของโรคเมื่อต้นปี จนกระทั่งตอนนี้ ไวรัสโควิด-19 ฉวยโอกาสกลับมาเพิ่มการระบาดอีกครั้ง
เขากล่าวว่า หากว่าสหรัฐฯ มีแนวทางที่เเข็งขันอย่างแท้จริง จากผู้นำประเทศ ผู้นำระดับรัฐ และผู้นำระดับท้องถิ่น ประเทศอาจจะยังคงสามารถรักษาความุ่งมั่นที่เริ่มต้นไว้ ในการลดการระบาดให้เหลือศูนย์
ผู้อำนวยการสถาบัน NIH ยอมรับว่าการระบาดในสหรัฐฯ อยู่ในช่วงขาขึ้น และยังขึ้นได้ต่อไปจากนี้ด้วย
เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวรายหนึ่งบอกกับ Washington Post ว่า ที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สนับสนุนการเปิดเศรษฐกิจ ขณะที่ยังมีการระบาดอยู่ ก็เพราะเขาเชื่อว่า ผลแห่งการไม่คลายล็อคดาวน์ สร้างปัญหาต่างๆ ที่มากกว่าเศรษฐกิจ เช่น การที่คนยังไม่สามารถไปหาหมอสำหรับโรคอื่นๆ ได้เหมือนปกติ ปัญหาการติดเหล้าและสารเสพติด รวมถึงภาวะซึมเศร้าและความเสี่ยงของการฆ่าตัวตาย
แม้ว่าคนอเมริกันจำนวนมากจะตื่นตัวกับวิกฤติโควิด-19 ในช่วงเดือนมีนาคมและเมษายน แต่ความกลัวดูเหมือนว่าจะลดลงในเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน
และเมื่อมีการคลายมาตรการปิดเมืองซึ่งได้ผลดี ผู้คนอาจรู้สึกว่าพ้นวิกฤตไปแล้ว
ในการให้สัมภาษณ์เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว ผู้ว่าการรัฐโอไฮโอ ไมค์ เดอไวน์ สังกัดพรรครีพับลิกัน กล่าวว่า เขายอมรับว่า คนอเมริกัน ‘การ์ดตก’ เพราะคิดว่าการคลายล็อคดาวน์และกลับมาเปิดภาคเศรษฐกิจและสังคม ถูกตีความว่า สถานการณ์ปลอดภัยแล้ว
เมื่อคนจำนวนมากขึ้นไม่เห็นความสำคัญของการสวมหน้ากาก งานหนักจึงอยู่ที่ฝ่ายที่ส่งสัญญาณด้านสาธารณสุขต่อประชาชน แต่สารที่สื่อไปถึงชาวอเมริกันกลับไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน หรือแม้แต่ในบรรดานักวิทยาศาสตร์เองก็เคยมีความเห็นถึง ความสามารถควบคุมการระบาดด้วยการสวมหน้ากาก ที่เเตกต่างกัน
ผลการสำรวจชิ้นหนึ่งแสดงว่า สมาชิกพรรคเดโมแครตและชนกลุ่มน้อยมีแนวโน้มจะใช้หน้ากากเมื่อออกจากบ้านมากกว่าสมาชิกของพรรครีพับลิกันและกลุ่มคนผิวขาว ในอัตราถึงเกือบเท่าตัว
หลายคนอาจคิดว่าสหรัฐฯ เพิ่มการเฝ้าระวังโรคระบาดด้วยการสนับสนุนด้านเงินทุนต่อโครงการสาธารณสุขอย่างต้องเนื่อง
แต่ในความเป็นจริง หน่วยงานสาธารณสุขระดับท้องถิ่นถูกลดงบประมาณมาเป็นเวลาหลายปี
Washington Post รายงานว่า องค์กรสาธารณสุขระดับท้องถิ่น จ้างคนน้อยลงหนึ่งในสี่หากเทียบกับเมื่อ 12 ปีก่อน นั่นหมายถึงการตัดตำแหน่งงานเกือบ 60,000 อัตรา และแหล่งเงินสนับสนุนจากรัฐบาลกลาง ผ่านงบประมาณเตรียมการฉุกเฉินของศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคหรือ Centers for Disease Control and Prevention ก็ถูกลดทอนลงร้อยละ 30 ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2003 หรือ 17 ปีก่อน
ในวันอาทิตย์ สหรัฐฯ รายงานผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอีก 67,574 คน ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อสะสมเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 3.8 ล้านคน เสียชีวิตแล้วประมาณ 140,000 คนท่ามกลางเสียงวิจารณ์รัฐบาลประธานาธิบดีทรัมป์เรื่องการจัดการกับการระบาดของโควิด-19 โฆษกทำเนียบขาวบอกกับ Washington Post ว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ แสดงบทบาทผู้นำครั้งประวัติศาสตร์ในการรับมือกับโคโรนาไวรัส ซึ่งนำไปสู่การซื้อเครื่องช่วยหายใจ 100,000 เครื่อง จัดหาอุปกรณ์ PPE เพื่อป้องกันเจ้าหน้าที่การแพทย์ และเร่งมาตรการตรวจผู้ติดเชื้ออย่างรวดเร็วและมากกว่าประเทศใดในโลก
สื่อฉบับนี้ยังได้พูดคุยกับ ไมเคิล ออสเตอร์โฮล์ม ผู้อำนวยการ Center for Infectious Disease Research and Policy แห่งมหาวิทยาลัยมินเนโซต้า ที่กังวลถึงความรู้สึกท้อถอยและหมดหวัง เขากล่าวว่า “หากเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นในสังคม คนจะสูญเสียความสามารถในการดำเนินกิจกรรมต่างๆ บนพื้นฐานของเหตุผล ขาดความมุ่งมั่นที่จะสู้ต่อ และนั่นหมายถึงการสูญเสียโอกาสที่จะเอาชนะไวรัสได้ในที่สุด”