นายกรัฐมนตรีจีน หลี่ เค่อเฉียง วัย 66 ปี แถลงข่าวเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า ตนจะลงจากตำแหน่งภายในหนึ่งปี พร้อมกับเปรียบเทียบความท้าทายในการบริหารจัดการเศรษฐกิจจีนในปัจจุบันว่า เหมือนกับการปีนเขาสูงที่มีอากาศเบาบาง
คำประกาศลงจากตำแหน่งครั้งนี้ถือเป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกใจนัก เนื่องจากบรรดาผู้นำระดับสูงของจีนมักอยู่ในตำแหน่งไม่เกินสองเทอม ซึ่งเทอมที่สองของนายกฯ หลี่ จะครบวาระในปีหน้า
บรรดารัฐบาลต่างชาติและบริษัทข้ามชาติต่างจับตามองการเปลี่ยนแปลงในระดับผู้นำครั้งนี้อย่างใกล้ชิดเพื่อวิเคราะห์ทิศทางทางเศรษฐกิจและการเมืองของจีนต่อจากนี้ภายใต้แรงกดดันทางเศรษฐกิจจากวิกฤติในยูเครน
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะไม่กระทบต่อสถานะของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ซึ่งมิได้ถูกจำกัดวาระการดำรงตำแหน่งเพียงแค่สองปีภายใต้การปรับแก้รัฐธรรมนูญใหม่เมื่อปีค.ศ. 2018 ที่นักวิเคราะห์มองว่าเป็นการปูทางให้ประธานาธิบดีจีนสามารถอยู่ในตำแหน่งได้ตลอดชีวิต
แต่รายงานบางชิ้นที่อ้างว่ามาจากแหล่งข่าวภายในพรรคคอมมิวนิสต์เปิดเผยว่า ปธน.สี อาจพิจารณาบทบาทของตัวเองใหม่ โดยอาจเลือกสละตำแหน่งประธานาธิบดีแล้วไปดำรงตำแหน่ง "ประธานพรรคคอมมิวนิสต์" ซึ่งเป็นตำแหน่งเดียวกับ เหมา เจ๋อตุง ผู้ก่อตั้งพรรคคอมนิวนิสต์จีน
ในการแถลงข่าวเมื่อวันศุกร์ นายกฯ หลี่ เค่อเฉียง ยังได้กล่าวถึงความยากลำบากในการบรรลุตามเป้าหมายทางเศรษฐกิจของจีน รวมทั้งความท้าทายที่เกิดจากทั้งประเด็นในประเทศและต่างประเทศ โดยบอกว่า "เหมือนการปีนขึ้นภูเขาสูง"
นายกฯ หลี่ กล่าวว่า "หากคุณปีนเขาสูง 1,000 เมตร แล้วต้องการปีนขึ้นไปอีก 10% คือ 100 เมตร นั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่หากคุณปีนเขาสูง 3,000 เมตรแล้วต้องการปีนขึ้นไปอีก 5% นั่นเท่ากับ 150 เมตร ซึ่งปัจจัยต่าง ๆ จะเปลี่ยนไป เนื่องจากแรงดันอากาศที่ลดลงและออกซิเจนที่เบาบางลง"
ทั้งนี้ รัฐบาลจีนคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจจีนในปีนี้จะเติบโต 5.5% ขณะที่สถาบันการเงิน มอร์แกน สแตนลีย์ คาดว่าจะขยายตัว 5.3% และธนาคารไอเอ็นจี คาดว่าจะขยายตัว 4.8%