อัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจจีนต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ในไตรมาสที่สองของปีนี้ ก่อให้เกิดความกังวลต่อปัญหาการจ้างงานของคนหนุ่มสาว และการชะลอตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์
อัตราการขยายตัวรายปีของเศรษฐกิจจีนซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของโลก อยู่ที่ระดับ 6.3% ระหว่างเดือนเมษายนถึงเดือนมิถุนายน ซึ่งต่ำกว่าระดับ 7% ที่นักวิเคราะห์คาดไว้ และแม้จะสูงกว่าระดับ 4.5% ในช่วงไตรมาสแรกของปี แต่ส่วนหนึ่งเป็นเพราะตัวเลขการเติบโตที่ลดลงเหลือเพียง 0.4% ในช่วงไตรมาสที่สองของปีที่แล้ว (ซึ่งนำมาใช้เปรียบเทียบกับตัวเลขในช่วงเดียวกันของปีนี้) เนื่องจากมาตรการล็อกดาวน์ที่รัฐบาลนำมาใช้
อัตราการว่างงานของคนหนุ่มสาวชาวจีนอายุ 16 - 24 ปี เพิ่มขึ้นถึงระดับ 21.3% ในเดือนมิ.ย. ขณะที่การลงทุนในภาคอสังริมทรัพย์ลดลง 739% ในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ ซึ่งเป็นสัญญาณของความอ่อนแอในภาคการก่อสร้างที่อยู่อาศัยที่เริ่มเห็นเค้าลางมาตั้งแต่ก่อนการระบาดของโควิด-19
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่จีนยังคงเชื่อว่าการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจจะเป็นไปตามเป้าหมายที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนวางไว้ในปีนี้ คือ 5%
แต่นักวิเคราะห์กลับมองว่า การอ่อนแอลงของเศรษฐกิจจีน โดยเฉพาะในภาคการส่งออกและความต้องการสินค้าจีนที่ลดลงในหลายประเทศ อาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจโลกได้
แฮรี เมอร์ฟี ครูซ นักเศรษฐศาสตร์ของสถาบันมูดีส์ (Moody's) กล่าวว่า "หลังจากการอัดฉีดเงินเข้าสู่เศรษฐกิจเมื่อต้นปี ขณะนี้เศรษฐกิจจีนยังคงไม่หายเมาค้างจากช่วงการระบาดใหญ่" และว่า การใช้จ่ายของรัฐบาลจีนน่าจะช่วยกระตุ้นภาคอุตสาหกรรมสำคัญ เช่น อสังหาริมทรัพย์และการก่อสร้างได้ แต่ก็ไม่ใช่ "กระสุนเงิน" ที่จะช่วยเศรษฐกิจจีนฟื้นตัวขึ้นได้ทันที
ทั้งนี้ จีนมิได้เผชิญอัตราเงินเฟ้อเหมือนประเทศอื่น แต่อาจกำลังประสบภาวะเงินฝืดเนื่องจากความต้องการสินค้าลดลงซึ่งทำให้ราคาสินค้าลดลงด้วย ทำให้รัฐบาลต้องพยายามหามาตรการต่าง ๆ มาใช้เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชน
มาร์เซลลา โจว นักวางแผนการตลาดของ J.P. Morgan Asset Management ชี้ว่า นอกจากการเพิ่มการใช้จ่ายแล้ว รัฐบาลจีนอาจใช้วิธีลดอัตราดอกเบี้ยลงและเพิ่มปริมาณเงินกู้มากขึ้น เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเช่นกัน
- ที่มา: เอพี
