รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ แอนโทนี บลิงเคน เข้าร่วมหารือกับรัฐมนตรีต่างประเทศจีน ฉิน กัง ในการประชุมที่ “เปิดเผยตรงไปตรงมา” ที่เมืองหลวงของจีนในวันอาทิตย์ ตามรายงานของกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ขณะที่ กรุงวอชิงตันและกรุงปักกิ่งยังคงพยายามหาทางปรับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศให้เป็นปกติหลังมีเหตุยกระดับความตึงเครียดมาอย่างต่อเนื่อง
หลังบลิงเคนและฉินใช้เวลาประชุมร่วมกันถึง 7 ชั่วโมงครึ่งที่เรือนรับรอง เตี้ยวหยูไท่ รัฐมนตรีต่างประเทศจีนตกลงที่จะยอมรับคำเชิญเยือนสหรัฐฯ แล้ว โดยรัฐมนตรีทั้งสองยังตกลงที่จะให้มีการเพิ่มเที่ยวบินระหว่างสหรัฐฯ และจีนด้วย
นอกจากนั้น ทั้งสองฝ่ายยืนยันที่จะเปิดทางให้มีการเดินหน้าทำงานร่วมกันในหลายประเด็น “ในระดับเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน” ตามการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่อาวุโสรายหนึ่งของกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ
แมทธิว มิลเลอร์ โฆษกกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุในแถลงการณ์ด้วยว่า “รัฐมนตรี[บลิงเคน]ยืนยันชัดเจนว่า สหรัฐฯ จะยืนหยัดเพื่อปกป้องผลประโยชน์และค่านิยมของชาวอเมริกัน และทำงานร่วมกับพันธมิตรและหุ้นส่วนต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมวิสัยทัศน์แห่งโลกเสรี เปิดกว้าง และยึดมั่นในความเป็นระเบียบเรียบร้อยของสังคมที่อ้างอิงกับกฎสากล” พร้อมกล่าวว่า รัฐมนตรีทั้งสองยังได้หารือหนทางที่จะเปิดโอกาสให้ประชาชนของสองประเทศมีการแลกเปลี่ยนในเรื่องต่าง ๆ อย่างง่ายดายขึ้นด้วย
รมต.บลิงเคน คือรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ คนแรกที่เยือนกรุงปักกิ่งนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2018 เป็นต้นมา โดยการเดินทางเยือนเป็นเวลา 2 วันนี้ถูกปรับเปลี่ยนมาจากแผนงานเดิมในเดือนกุมภาพันธ์ หลังเกิดกรณีบอลลูนต้องสงสัยของจีนลอยผ่านน่านฟ้าสหรัฐฯ
ผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศจีน หัว ชุนยิง ทวีตข้อความที่ระบุว่า “หวังว่า การประชุมนี้จะสามารถช่วยทำให้ความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ กลับมาอยู่ที่จุดที่ประธานาธิบดีทั้งสอง (โจ ไบเดน และ สี จิ้นผิง) ได้ตกลงกันไว้ที่บาหลี”
ในการประชุมระหว่างสองผู้นำในครั้งนั้น ต่างตกลงที่จะเปิดช่องทางการสื่อสารระหว่างกันเอาไว้เสมอ
เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ เปิดเผยว่า วาระของการประชุมระหว่างรมต.บลิงเคนและรมต.ฉินในวันอาทิตย์และวันจันทร์นั้น ประกอบด้วยประเด็น อาทิ ความมั่นคงในภูมิภาค การต่อสู้ปราบปรามยาเสพติด การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ความมั่นคงทางเศรษฐกิจมหภาพของโลก ชาวอเมริกันที่ถูกคุมขังโดยมิชอบในจีน และการแลกเปลี่ยนระหว่างชาวอเมริกันและชาวจีน
ชาวอเมริกันที่ถูกคุมขังโดยมิชอบในจีน
และเนื่องในโอกาสที่วันอาทิตย์ที่ 18 มิถุนายนนั้นเป็นวันพ่อ เด็ก ๆ ชาวอเมริกันที่มีพ่อถูกจับกุมตัวและคุมขังโดยทางการจีนและสหรัฐฯ มองว่า เป็นการดำเนินการโดยมิชอบ ได้ร้องขอให้รมต.บลิงเคนช่วยพูดคุยกับฝ่ายจีนให้ด้วย ขณะที่ มีโครงการที่ชื่อ “Bring Our Families Home Campaign” ทวีตข้อความเรียกร้องออกมาในวันอาทิตย์ ว่า “ตัวประกันทุกคนนั้นมีครอบครัวที่ยังคงทุกข์ระทมอยู่ทุกวัน”
อลิซ ลิน ซึ่งเป็นบุตรสาวของบาทหลวง เดวิด ลิน ซึ่งถูกจีนจับกุมตัวไว้โดยมีการเปิดเผยรายละเอียดชัดเจนว่าเกิดอะไรในปี ค.ศ. 2006 ก่อนจะถูกตัดสินลงโทษจำคุกตลอดชีวิตในข้อหาทุจริตการทำสัญญา บอกกับ วีโอเอ ว่า “รัฐมนตรีบลิงเคน ... พวกเราคิดถึงพ่อของเรา กรุณาทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อพาเขากลับบ้านด้วย”
ทั้งนี้ ครอบครัวลินยืนยันความบริสุทธิ์ของเดวิดมาโดยตลอด และต่อมา ทางการจีนก็ได้ลดโทษจำคุกของเขาลง จนมีกำหนดปล่อยตัวในปี ค.ศ. 2029 แล้ว
ไต้หวัน
กรุงวอชิงตันกล่าวมาเสมอว่า การยกระดับปฏิบัติการทางทหารของจีนในช่องแคบไต้หวัน คือ “ประเด็นความกังวลระดับโลก”
เจ้าหน้าที่อาวุโสรายหนึ่งของกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ บอกกับ วีโอเอ ว่า เรื่องนี้เป็น “ผลประโยชน์อันถาวร” ของสหรัฐฯ ที่จะต้องรักษาสันติภาพและความมั่นคงในช่องแคบไต้หวันไว้ ขณะที่ หลายฝ่ายมองว่า จีนกำลังเร่งทำการข่มขูทางเศรษฐกิจต่อไทเปก่อนที่จะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีในต้นปีหน้า
เมื่อเดือนที่แล้ว แอฟริล เฮนส์ ผู้อำนวยการ สำนักงานผู้อำนวยการข่าวกรองแห่งชาติสหรัฐฯ แจ้งต่อที่ประชุมวุฒิสมาชิกว่า การรุกรานไต้หวันโดยจีนอาจทำให้ฐานการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ล้ำยุคที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของโลกจะหยุดชะงักลง และอาจทำให้เกิดความสูญเสียมากถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์
เจน-ยู่ หลี่ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ Taishin Financial Holdings ในไต้หวัน เห็นว่า ตัวเลขที่ว่านี้ยังดูเล็กน้อย เมื่อคิดว่าเป็นสัดส่วนเพียง 6% ของจีดีพีของจีน แต่ความขัดแย้งทางทหารในช่องแคบไต้หวันกลับจะมีผลกระทบต่อประเทศอื่น ๆ ในเอเชีย เช่น ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ซึ่งมีขนาดจีดีพีอย่างน้อย 5 ล้านล้านดอลลาร์
หลี่ กล่าวระหว่างร่วมงานสัมมนาที่จัดโดย Center for Strategic and International Studies ที่กรุงวอชิงตัน เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม ว่า “ถ้าไต้หวันถูกโจมตี ตลาดหุ้นในสหรัฐฯ อาจสูญเงินถึง 3 ล้านล้านดอลลาร์” ได้เลย และว่า “ถ้าผมเป็น สี จิ้นผิง ผมจะยินดีทำการโจมตีไต้หวัน เพราะมันแค่ 6% เท่านั้น”
- ข้อมูลบางส่วนมาจากเอพีและรอยเตอร์