เหตุกราดยิงในโรงเรียนหลาย ๆ แห่งทั่วสหรัฐฯ ทำให้เกิดความต้องการให้โรงเรียนต่าง ๆ ติดตั้งที่จะมีระบบรักษาความปลอดภัยที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงมากขึ้นแล้ว
เมื่อประมาณ 1 ปีที่แล้ว มือปืนคนหนึ่งได้สังหารเด็ก 19 คนและครู 2 คนที่เมืองยูวัลดี รัฐเท็กซัส และต่อมาไม่นาน บริษัทแอ็กซอน เอ็นเตอร์ไพรส์ (Axon Enterprise) ผู้ผลิตเครื่องช็อตไฟฟ้า เกิดมีแนวคิดเกี่ยวกับวิธีป้องกันการโจมตีดังกล่าว โดยแนะนำให้โรงเรียนใช้โดรนที่ไม่ใช่เพื่อการสังหารซึ่งขับเคลื่อนโดยระบบปัญญาประดิษฐ์ หรือ (AI) มาช่วยรักษาความปลอดภัย
แต่พนักงานหลาย ๆ คนในบริษัทไม่เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ โดยคณะกรรมการจริยธรรมด้าน AI ของบริษัทถึงกับลาออกเพื่อเป็นการประท้วง
เหตุการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความกังวลใจที่เพิ่มขึ้นในเรื่องของจริยธรรมและประสิทธิภาพของเครื่องมือรักษาความปลอดภัยที่มุ่งทำการตลาดเพื่อขายให้โรงเรียนในสหรัฐฯ
โอดิส จอห์นสัน จูเนียร์ (Odis Johnson Jr.) ผู้อำนวยการศูนย์สุขภาพและความปลอดภัย ของมหาวิทยาลัยจอนส์ฮอพกินส์ ที่เมืองบัลติมอร์ รัฐแมริแลนด์ เปิดเผยว่า โรงเรียนต่าง ๆ ใช้เงินบรรเทาทุกข์โควิด-19 ก้อนใหม่ตลอดจนเงินกองทุนอื่น ๆ ของรัฐบาลเพื่อซื้อเครื่องมือดังกล่าวเกือบสองแสนล้านดอลลาร์
จอห์นสัน จูเนียร์ ชี้ด้วยว่า ในเวลานี้ โรงเรียนหลายแห่งมีเงินสำหรับใช้จ่ายมากขึ้น ขณะที่ธุรกิจเทคโนโลยีที่กำลังเฟื่องฟูอยู่ก็เร่งนำเสนอเทคโนโลยีเหล่านี้ออกมาให้มีการใช้งานมากขึ้นไปพร้อม ๆ กันด้วย
ในเรื่องนี้ ริตา บิชอพ (Rita Bishop) อดีตผู้บริหารเขตการศึกษาที่เมืองโรโนค รัฐเวอร์จิเนีย เล่าว่า เธอต้องหยุดรับสายจากบรรดาบริษัทที่พยายามขายอุปกรณ์ต่างๆ เช่น กล้องวงจรปิดที่ขับเคลื่อนด้วยระบบ AI และเครื่องตรวจจับอาวุธต่าง ๆ เป็นต้น
สำหรับผู้เชี่ยวชาญและเจ้าหน้าที่ด้านความปลอดภัยของโรงเรียนแล้ว เครื่องมือเทคโนโลยีใหม่ ๆ เป็นเพียงหนทางหนึ่งในการป้องกันความรุนแรงในโรงเรียนเท่านั้น
แต่ก็มีบางภาคส่วนที่เลือกจะหันไปพึ่งเทคโนโลยีดังกล่าวมากขึ้น เช่น สำนักงานเขตการศึกษาที่ดูแลโรงเรียนของรัฐในชาล์ส เคาน์ตี้ รัฐแมริแลนด์ ที่ตัดสินใจใช้บริการของ ออมนิเลิร์ท (Omnilert) บริษัทผู้พัฒนาอุปกรณ์ที่ขับเคลื่อนด้วยระบบ AI ซึ่งเชื่อมต่อกับกล้องวงจรปิดของโรงเรียนเพื่อตรวจจับอาวุธปืน
เจสัน สต็อดดาร์ด (Jason Stoddard) ผู้อำนวยการฝ่ายรักษาความปลอดภัยของเขตการศึกษานี้ บอกว่า เขาเห็นว่า มือปืนที่ก่อเหตุที่เมืองยูวัลดี และมือปืนในเหตุการณ์ยิงกราดอีกที่หนึ่ง ชักปืนออกมาถือขณะเข้ามาใกล้เขตโรงเรียน ซึ่งหมายความว่า การตรวจจับล่วงหน้าน่าจะเป็นหนทางป้องกันที่ทำได้ และมีส่วนทำให้ทางเขตการศึกษาตัดสินใจใช้บริการของออมนิเลิร์ท
ทางด้านบริษัทซีโรอายส์ (ZeroEyes) กล่าวว่า เทคโนโลยีตรวจจับปืนของตนถูกนำไปใช้ตามโรงเรียนและสถานที่อื่น ๆ ในกว่า 30 รัฐ โดยมีมนุษย์เป็นผู้ตรวจสอบปืนที่ระบบ AI ตรวจจับมาได้ เช่นเดียวกับวิธีการของออมนิเลิร์ท
ข้อมูลจากเว็บไซต์ข่าว Intercept ระบุว่า มีเขตการศึกษามากกว่า 65 แห่งที่ได้ซื้อหรือทดสอบเครื่องมือตรวจจับปืนด้วยระบบ AI ตั้งแต่ปี 2018 โดยโรงเรียนเหล่านี้ใช้จ่ายงบประมาณรวมแล้วกว่า 45 ล้านดอลลาร์สำหรับเทคโนโลยีเหล่านี้
อย่างไรก็ตาม เคน ทรัมป์ (Ken Trump) ประธานกลุ่มที่ปรึกษาด้านความปลอดภัยของโรงเรียน National School Safety and Security Services กล่าวว่า มีผู้ออกมาแสดงความกังวลอย่างมากเกี่ยวกับประสิทธิภาพของเครื่องมือดังกล่าว พร้อมชี้ว่า ตอนนี้ โรงเรียนต่าง ๆ ได้กลายเป็นพื้นที่ทดสอบการใช้ “ซอฟต์แวร์ระบบ AI ที่ยังด้อยพัฒนาอยู่มากไป” แล้ว
เขากล่าวด้วยว่า โรงเรียนหันความสนใจไปที่วิธีการแก้ปัญหาด้วยการใช้เทคโนโลยีมากขึ้น แทนที่จะใช้มาตรการง่าย ๆ อย่างเช่น การฝึกอบรมครูเกี่ยวกับวิธีการรับมือกับเหตุกราดยิง การปรับปรุงโครงสร้างอาคารต่าง ๆ และการล็อคประตู เป็นต้น
จอห์นสัน จูเนียร์ จากมหาวิทยาลัยจอนส์ฮอพกินส์ ให้ความเห็นในเรื่องนี้ว่า เครื่องมือในการเฝ้าระวังอาจช่วยให้โรงเรียนมีการตอบสนองต่อเหตุการณ์ได้รวดเร็วขึ้น แต่ไม่น่าจะป้องกันการบุกรุกของมือปืนได้ พร้อมกล่าวว่า ยังไม่มีการวิจัยเกี่ยวกับประสิทธิภาพของเทคโนโลยีระบบ AI เหล่านี้ด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งจอห์นสัน จูเนียร์ และผู้เชี่ยวชาญอื่น ๆ กังวลว่า วิธีการเฝ้าระวังภัยของเหตุการณ์ใช้ความรุนแรงในโรงเรียนอาจนำมาซึ่งบรรยากาศแห่งความเกลียดชังได้ โดยเฉพาะต่อกลุ่มนักเรียนผิวสีและผู้ที่มาจากชุมชนที่มีการส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจไปตรวจตราและจับกุมหนักเกินความจำเป็นจนมีอัตราการเกิดอาชญากรรมและการจำคุกสูงกว่าที่อื่น ๆ
- ที่มา: รอยเตอร์