ในอดีตเสน่ห์ของผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อาจไม่สำคัญเท่าใดนักในการเลือกตั้งประธานาธิบดี แต่ในยุคที่สื่อสังคมออนไลน์มีบทบาทสำคัญ ผู้สมัครที่เข้าถึงและเชื่อมต่อกับผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งได้ในระดับปัจเจกบุคคลอาจเป็นตัวกำหนดอนาคตในทำเนียบขาวของพวกเขาได้เช่นกัน
หากให้นับย้อนไปในยุคแรกเริ่มของวิดีโอที่มีผลต่อการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อาจกล่าวได้ว่าเริ่มขึ้นในการเลือกตั้งปี 1960 ที่จอห์น เอฟ. เคนเนดี ตัวแทนผู้ที่มีเสน่ห์ผ่านเลนส์กล้องจากพรรคเดโมแครต สามารถเอาชนะ ริชาร์ด นิกสัน ตัวแทนจากพรรครีพับลิกันผู้ที่ดูธรรมดาและไม่น่าสนใจ อย่างไรก็ดีอีก 8 ปีต่อมา นิกสัน ชนะการเลือกตั้งเหนือ ฮิวเบิร์ต ฮัมฟรีย์ ได้สำเร็จ
ในการเลือกตั้งปี 2016 ที่โดนัลด์ ทรัมป์คว้าชัยชนะไปได้ นักวิเคราะห์การเมืองมองว่า ความล้มเหลวส่วนหนึ่งมาจากพรรคเดโมแครต ทั้งที่ ฮิลลารี คลินตัน เคยมีประสบการณ์ดำรงตำแหน่ง สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง วุฒิสมาชิก และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ แต่กลับไม่สามารถสร้างความรู้สึกใกล้ชิดเชื่อมต่อกับกลุ่มผู้ลงคะแนนเสียง
ข้อความในหนังสือ “What Happened” คลินตันเขียนยอมรับว่า “นั่นคือปัญหาของฉันกับผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งจำนวนมาก ฉันมองข้ามสิ่งที่ (ผู้คน) ระบายออกมา และมุ่งไปแต่การแก้ไขปัญหา”
รายงานวิชาการเมื่อปี 2015 ชี้ว่า เสน่ห์ที่ชนะใจคนของผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ และความสามารถด้านเศรษฐกิจระดับประเทศ เป็นปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ ต่อการทำนายว่าผู้ใดจะชนะการเลือกตั้ง
ปัจจัยทั้งสองส่งผลให้ไบเดนและทรัมป์ ได้รับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ มาแล้ว และอาจจะทำให้หนึ่งในสองคนนี้ ก้าวเข้าสู่ตำแหน่งสูงสุดในทำเนียบขาวอีกครั้ง ในการเลือกตั้งปีหน้า
สำหรับลักษณะที่โดดเด่นต่อหน้าฝูงชน หลังการกล่าวสุนทรพจน์ บางครั้งไบเดนจะทักทายกลุ่มคน โพสท่าถ่ายรูปเซลฟี่ และเข้าสวมกอดผู้คน
ขณะที่ทรัมป์จะมีท่าอันเป็นเอกลักษณ์ก่อนเดินลงจากเวที ที่เรียกกันว่า “thumbs up” โดยทรัมป์จะกำมือทั้งสองข้าง ชกเข้าชกออกเหมือนการต่อยมวย และเต้นไปตามจังหวะเพลงดิสโก้ ที่เคยโด่งดังในปี 1978 อย่างเพลง "YMCA" ทรัมป์ภูมิใจในความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างตัวเขากับกลุ่มผู้สนับสนุน
แม้ว่าทรัมป์จะถูกตั้งข้อหาทางอาญาหลายสิบกระทง ที่มาจากทั้งก่อน ระหว่าง และหลังการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ แต่การสำรวจคะแนนเสียง ยังพบว่าทรัมป์มีคะแนนความนิยมนำหน้าผู้สมัครรายอื่นจากพรรครีพับลิกัน ในการเป็นตัวแทนลงชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดีปี 2024
ในเชิงการศึกษาความเป็นผู้นำ เชื่อว่า “เสน่ห์ที่ชนะใจคน” ไม่ใช่แค่ความขึ้นกล้องเท่านั้น แต่นักการเมืองที่ประสบความสำเร็จ ต้องสื่อสารข้อความไปยังผู้คนได้อย่างยอดเยี่ยม
อุลริช เจนเซน อาจารย์ภาควิชานโยบายสาธารณะ จาก Arizona State University กล่าวกับวีโอเอว่า เมื่อคุณรู้สึกเหมือนเป็นหนึ่งในกลุ่มนั้น มันเหมือนกับการสร้างอัตลักษณ์ร่วม ขับเคลื่อนค่านิยม สิ่งเหล่านี้สามารถทำได้ด้วยการสร้างกรอบของสารที่จะส่งไป ให้เนื้อหาสาระ และเรียงร้อยในรูปแบบที่มีส่วนร่วมได้และเป็นปัจจุบัน
งานวิจัยล่าสุดของเจนเซน แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยง ระหว่างเสน่ห์ของผู้ว่าการรัฐ และประชาชนที่ทำตามมาตรการช่วงการระบาดของโควิด-19
สตีเฟน ฟาร์นสเวิร์ธ ผู้อำนวยการ Center for Leadership and Media Studies แห่ง University of Mary Washington ให้ทัศนะกับวีโอเอว่า การจับมือ การแสดงออกถึงท่าทาง และการกล่าวประโยคที่เสมือนลายเซ็นต์ของตนเองซ้ำ ๆ ทั้งหมดนี้ช่วยให้เหล่าผู้สมัครสื่อสารข้อความส่งไปได้กว้างไกลมากยิ่งขึ้น
ฟาร์นสเวิร์ธ อาจารย์ด้านรัฐศาสตร์กล่าวว่า คนส่วนใหญ่ที่กำลังติดตามผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี จะไม่เคยได้พบตัวจริงของผู้สมัครเลย พวกเขาจะตัดสินใจจากสิ่งที่ได้เห็นผ่านสื่อ ว่าผู้สมัครคนไหนที่ถูกใจมากกว่า ฟาร์นสเวิร์ธเสริมว่า “คุณต้องมีความจริงใจ”
การรับรู้ถึงความไม่น่าไว้วางใจ เป็นอุปสรรคต่อการหาเสียงของผู้ว่าการรัฐฟลอริดา รอน เดอซานติส ผู้ลงสมัครชิงตำแหน่งจากพรรครีพับลิกันที่ถูกมองว่า เป็นผู้ที่มีโอกาสจะเอาชนะทรัมป์ได้มากที่สุด
ฌอน สไปเซอร์ โฆษกทำเนียบขาวคนแรกของทรัมป์ ให้สัมภาษณ์กับวีโอเอ โดยชี้ว่า นักการเมืองที่อึดอัดในการสื่อสารต่อหน้าสาธารณชน อาจจะไม่สามารถแสดงออกถึงความเป็นตนเองได้อย่างแท้จริง แต่พวกเขาสามารถฝึกฝนว่าควรเน้นในเรื่องใดได้
สไปเซอร์ยังเผยว่าในบางครั้งนักการเมืองรู้สึกประหม่าในบางเรื่อง พวกเขาจะกลัวที่จะแตะหัวข้อเหล่านั้น สำหรับทรัมป์ สไปเซอร์มองว่า "ผมคิดว่าสิ่งที่ทรัมป์ทำ คือเขาแค่ทำไปตามความรู้สึกของเขามากขึ้น ทั้งที่เขาคิดและเขาเชื่อ"
เจนเซน จาก Arizona State University เชื่อว่าความเป็นตัวตนที่แท้จริงไม่สามารถปลอมแปลงได้ และว่า “หากคุณมีเสน่ห์แต่ขาดความจริงใจ เสน่ห์ก็จะไม่มีค่ามากนัก ดังนั้นคุณสามารถหลอกผู้คนโดยใช้กลยุทธ์เหล่านี้ได้ แต่คุณจะทำได้เพียงระยะสั้น ๆ เท่านั้น”
นอกจากนี้ เจนเซนยังกล่าวถึงไบเดน โดยระบุว่า “การสร้างตัวตน ผ่านการแสดงออกให้คนเห็นว่า คุณห่วงใยและยินดีรับฟังเรื่องราวของพวกเขา เป็นหนึ่งในลักษณะที่ผู้คนรู้จักไบเดน และสิ่งที่เขาทำได้ดีก็คือการนำเรื่องราวเหล่านั้นกลับมาใช้ใหม่ นำมาปรับแง่มุมในการเล่าเรื่อง และสำนวนวาทศิลป์ของเขา เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพอย่างมากในการช่วยสร้างตัวตน(ต่อผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง)”
ฟาร์นสเวิร์ธ ผู้เขียนหนังสือ “การสื่อสารและลักษณะของประธานาธิบดี” ถอดบทเรียนให้กับบุคคลทั่วไป โดยชี้ว่า “ถ้าคุณพยายามนำเสนอตัวเองในสิ่งที่ไม่เป็นจริงทั้งหมด สื่อสมัยใหม่จะสามารถตรวจจับสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ได้ และผู้คนจะพบเห็นสิ่ง(ที่ปลอมแปลง)นั้น”
- ที่มา: วีโอเอ