ตัวเลขผู้ติดเชื้อโคโรนาไวรัสในยุโรปพุ่งสูงขึ้นหนึ่งเดือนก่อนจะถึงเทศกาลคริสต์มาส ทำให้หลายประเทศเริ่มพิจารณานำมาตรการล็อกดาวน์กลับมาใช้เพื่อควบคุมการระบาด
ทางการออสเตรียประกาศปิดร้านค้า ร้านอาหารและตลาดนัดช่วงเทศกาล พร้อมกับนำมาตรการคุมเข้มเพื่อควบคุมการระบาดกลับมาใช้อีกครั้งในรอบหลายเดือน ซึ่งรวมถึงการห้ามประชาชนออกนอกเคหสถาน นอกจากว่าจะเดินทางไปทำงาน ซื้อสินค้าจำเป็น หรือออกกำลังกายเท่านั้น
นอกจากนี้ ทางการออสเตรียประกาศใช้มาตรการบังคับประชาชนฉีดวัคซีนโควิดตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์เป็นต้นไป ถือเป็นประเทศแรกในยุโรปนอกเหนือจากนครวาติกันที่นำมาตรการดังกล่าวมาใช้
ก่อนหน้านี้ ออสเตรียถือเป็นหนึ่งในประเทศในยุโรปที่สามารถรับมือการระบาดของโควิด-19 ได้ดี โดยช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา ผู้นำออสเตรียได้ประกาศว่าการระบาดในออสเตรียได้ยุติลงแล้ว
อย่างไรก็ตาม ออสเตรียยังคงมีอัตราการฉีดวัคซีนในระดับต่ำ โดยเมือเดือนตุลาคม นายกรัฐมนตรีคนใหม่ อเล็กซานเดอร์ ชาลเลนเบิร์ก กล่าวตำหนิอัตราการฉีดวัคซีนในประเทศที่ระดับ 66% ของประชากรทั้งหมดว่า "ต่ำจนน่าละอาย" เมื่อเทียบกับอัตราการฉีดวัคซีนที่ระดับ 75% ของฝรั่งเศส พร้อมกับประกาศห้ามประชาชนที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนโควิดเข้าไปในสถานที่สาธารณะต่าง ๆ
แต่มาตรการล็อกดาวน์รอบใหม่นี้ถูกต่อต้านจากประชาชนจำนวนมาก มีผู้ประท้วงหลายหมื่นคนเดินขบวนตามท้องถนนในวันอาทิตย์เพื่อต่อต้านการคุมเข้มของรัฐบาล
โดยผู้ประท้วงบางส่วนตะโกนด่าทอรัฐบาลว่า "เผด็จการ" และสวมเสื้อที่มีสัญลักษณ์ดาวสีเหลืองพร้อมข้อความว่า "ไม่ฉีดวัคซีน" คล้ายกับสัญลักษณ์ "ดาวของเดวิด" ที่อดีตกองทัพนาซีเยอรมันบังคับให้ชาวยิวสวมใส่ระหว่างเหตุการณ์สังหารหมู่ชาวยิวในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
ขณะเดียวกัน ที่กรุงบรัสเซลล์ เบลเยียม ประชาชนราว 35,000 คนเดินขบวนในช่วงสุดสัปดาห์เพื่อต่อต้านมาตรการล็อกดาวน์เช่นกัน โดยเจ้าหน้าที่ต้องใช้หัวฉีดน้ำแรงดันสูงและแก๊สน้ำตาในการสลายผู้ชุมนุม
ที่เดนมาร์ก ผู้ประท้วงราว 1,000 คนเดินขบวนต่อต้านแผนใช้บัตรผ่านวัคซีนกับเจ้าหน้าที่ภาครัฐ และที่เนเธอร์แลนด์ มีผู้ถูกจับกุมราว 130 คน จากการประท้วงต่อต้านมาตรการเคอร์ฟิวเพื่อควบคุมการระบาด