ในปีหน้า ชาวอเมริกันหลายล้านคนที่ได้รับเงินประกันสังคมจากรัฐบาลสหรัฐฯ จะได้จำนวนเงินเพิ่มขึ้น 8.7% ซึ่งเพิ่มมากที่สุดในรอบ 40 ปี เพื่อชดเชยอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นในสัดส่วนที่พอ ๆ กัน
เงินประกันสังคมที่ปรับตามค่าครองชีพใหม่นี้ หมายความว่า ผู้รับเงินประกันสังคมแต่ละคนจะได้รับเงินเฉลี่ยเพิ่มขึ้นคนละมากกว่า 140 ดอลลาร์ต่อเดือน เริ่มตั้งแต่เดือนมกราคมนี้เป็นต้นไป จากการเปิดเผยของสำนักงานประกันสังคมสหรัฐฯ หรือ SSA (Social Security Administration) ในวันพฤหัสบดี
SSA ระบุว่า ในปีหน้า เงินประกันสังคมโดยเฉลี่ยต่อผู้เกษียณอายุแล้วหนึ่งคนจะอยู่ที่ 1,827 ดอลลาร์ (ประมาณ 68,000 บาท) ต่อเดือน อ้างอิงจากเอกสารของสำนักงานประกันสังคม
ประธานาธิบดีโจ ไบเดน กล่าวในวันพฤหัสบดีว่า "ผู้สูงอายุชาวอเมริกันจะเอาชนะอัตราเงินเฟ้อได้ในปีหน้า" ขณะที่ โจ แอนน์ เจนกินส์ ซีอีโอของ AARP กล่าวว่า เงินที่เพิ่มขึ้นจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของชาวอเมริกันหลายล้านคนได้"
รายงานของรัฐบาลสหรัฐฯ ในวันพฤหัสบดี ชี้ว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค หรือ CPI (Consumer Price Index) ในเดือนกันยายนเพิ่มขึ้น 0.4% หลังจากที่เพิ่มเพียง 0.1% ในเดือนสิงหาคม ทำให้ CPI ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นไปแล้ว 8.2% ขณะที่ตัวเลขผู้ขอสวัสดิการชดเชยการว่างงานเพิ่มขึ้นในช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา
ข้อมูลต่าง ๆ ของรัฐบาลสหรัฐฯ ชี้ให้เห็นว่า เงินเฟ้อส่งผลกระทบต่อบรรดาผู้สูงอายุมากกว่าประชากรกลุ่มอื่น ๆ โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายด้านการรักษาสุขภาพ ซึ่งรัฐบาลพยายามช่วยเหลือด้วยการลดเบี้ยประกันสุขภาพของรัฐบาลสำหรับผู้สูงอายุ หรือ เมดิแคร์ (Medicare) ลง 3% ในปีหน้าด้วย
การเพิ่มขึ้นของเงินประกันสังคมในปีหน้าจะมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 1981 ซึ่งในครั้งนั้นเพิ่มขึ้น 11.2% อย่างไรก็ตาม แม้บรรดาผู้รับเงินประกันสังคมต่างยินดีต่อรายรับที่เพิ่มขึ้นนี้ แต่หลายคนก็ยังบอกว่าไม่เพียงพอชดเชยราคาสินค้าและบริการต่าง ๆ ที่สูงขึ้นมากเพราะเงินเฟ้อ
วิลเลียม อาร์โนเน ผู้บริหารองค์กร National Academy of Social Insurance กล่าวว่า "นี่ไม่ใช่เรื่องที่ต้องฉลอง" เพราะเงินที่เพิ่มขึ้นมิได้ช่วยให้ผู้เกษียณเอาชนะเงินเฟ้อได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากราคาสินค้ายังสูงขึ้นต่อเนื่องไม่หยุด "และยิ่งเป็นการบ่งชี้ว่า เงินเฟ้อในภาคการดูแลรักษาสุขภาพจะสูงทะลุเพดานในปีหน้า"
มาร์กาเร็ต โทแมน ผู้เกษียณอายุวัย 78 ปีจากรัฐนอร์ธแคโรไลนา กล่าวว่า "เงินที่เพิ่มขึ้น 8.7% นี้ น้อยเกินไป" และว่า พวกเราส่วนใหญ่ยินดีที่มีเงินประกันสังคมส่งมาให้ในแต่ละเดือน แต่ในใจลึก ๆ แล้วหลายคนไม่พอใจที่เงินดังกล่าวยังไม่พอดำรงชีพ ทั้งที่ถูกหักเงินเดือนเข้าสู่ระบบประกันสังคมมานานตลอดชีวิตการทำงาน
ขณะที่ วิลลี คลาร์ก วัย 65 ปี จากรัฐอิลลินอยส์ กล่าวว่า เงินประกันสังคมที่เพิ่มขึ้นช่วยให้เขาสามารถโผล่ขึ้นมา "หายใจ" ได้บ้างท่ามกลางรายจ่ายต่าง ๆ ที่ท่วมทับอยู่ในขณะนี้ แต่ก็เชื่อว่าเมื่อหักลบต้นทุนราคาสินค้าและค่าเช่าบ้านที่เพิ่มขึ้น ก็คงตกมาถึงกระเป๋าเงินจริง ๆ ไม่มากนัก
กองทุนประกันสังคมในสหรัฐฯ นั้นหักจากเงินเดือนของลูกจ้างและนายจ้างของพวกเขา โดยเริ่มต้นมาตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1930 ภายใต้แนวคิดของอดีตประธานาธิบดีแฟรงกิน ดี รูสเวลต์ ที่มองว่า การหักค่าประกันสังคมจากเงินเดือนโดยตรงจะช่วยให้ชาวอเมริกันรู้สึกถึงความเป็นเจ้าของกองทุนนี้ ซึ่งจะทำให้โครงการดังกล่าวปราศจากการแทรกแซงทางการเมือง
ปัจจุบันมีชาวอเมริกันราว 70 ล้านคน ซึ่งรวมถึงผู้เกษียณอายุ บุคคลทุพพลภาพ และบุตรของผู้เกษียณหรือทุพพลภาพ ได้รับเงินประกันสังคมจากรัฐบาล
อย่างไรก็ตาม การที่เงินประกันสังคมมีมูลค่าเพิ่มขึ้นในปีหน้าโดยไม่มีการหักเงินเข้ากองทุนเพิ่ม อาจยิ่งเพิ่มแรงกดดันต่อระบบประกันสังคมในอเมริกาที่กำลังเผชิญปัญหากองทุนไม่มีเงินเพียงพออย่างรุนแรงในช่วงไม่กี่ปีข้างหน้า
รายงานประจำปีว่าด้วยเงินประกันสังคมและเงินประกันสุขภาพ ระบุไว้เมื่อเดือนมิถุนายนว่า กองทุนประกันสังคมจะไม่สามารถจ่ายเงินสวัสดิการคืนให้แก่ผู้เกษียณได้ครบ 100% ตั้งแต่ปีค.ศ. 2035 เป็นต้นไปหากเงินในกองทุนยังคงลดลงเรื่อย ๆ โดยคาดว่าจะสามารถจ่ายได้เพียง 80% ให้แก่ผู้เกษียณการทำงานหลังปีดังกล่าว
คำประกาศของ SSA มีขึ้นก่อนที่จะมีการเลือกตั้งกลางเทอมในสหรัฐฯ ในวันที่ 8 พฤศจิกายนนี้ โดยเมื่อเดือนมกราคม ผลการสำรวจความเห็นชาวอเมริกันที่จัดทำโดยศูนย์วิจัยพิว (Pew Research Center) แสดงให้เห็นว่า ผู้นิยมพรรคเดโแมครตและรีพับลิกันต่างมีความคิดเห็นไปในแนวทางเดียวกันว่า การปรับปรุงระบบประกันสังคมให้ดีขึ้น คือภารกิจสำคัญที่สุดในปีนี้ของประธานาธิบดีและรัฐสภาสหรัฐฯ
- ที่มา: เอพี