ประชากรหลายพันล้านคนเสี่ยงสูญเสียการได้ยิน จากการฟังเพลงเสียงดัง

A model wears SMS Audio BioSport In-Ear Headphones at the Intel booth during the International CES, in Las Vegas, Jan. 6, 2015.

หน่วยงานในสหรัฐฯ เตือนว่า ประชากรกว่า 1 พันล้านคนที่มีอายุระหว่าง 12 ถึง 35 ปี เสี่ยงต่อการสูญเสียการได้ยินจากการฟังเพลงเสียงดังด้วยอุปกรณ์ต่างๆ

องค์การอนามัยโลกและสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ กำหนดมาตรฐานสากลฉบับใหม่เพื่อให้ผู้ผลิตทำให้โดทรศัพท์สมาร์ทโฟนรวมถึงอุปกรณ์อื่นๆ ปลอดภัยยิ่งขึ้นในการใช้ฟังเพลง

การฟังเพลงเป็นความสุขที่สุดอย่างหนึ่งในชีวิตของคนเรา ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพของสหประชาชาติ กล่าวว่า พวกเขาไม่ได้ต้องการจะกีดกันคนหนุ่มสาวที่ชื่นชอบการฟังเพลงโดยใช้หูฟังเป็นประจำ แต่เตือนว่าการฟังเพลงเสียงดังเป็นสิ่งที่ไม่ปลอดภัยและอาจทำให้เกิดความเสียหายต่อการได้ยินแบบถาวรได้

องค์การอนามัยโลกระบุว่า ยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนว่าประชากร 1.1 พันล้านคนมีความเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาการได้ยิน อย่างไรก็ตาม Shelly Chadha เจ้าหน้าที่ด้านเทคนิคของ WHO ด้านการป้องกันอาการหูตึงและสูญเสียการได้ยิน กล่าวว่า การศึกษาดังกล่าวมุ่งเน้นไปที่นิสัยการฟังของคนหนุ่มสาวและระดับเสียงที่ฟัง และว่าข้อมูลนี้เป็นประโยชน์ในการแก้ปัญหาเรื่องการสูญเสียการได้ยิน

ความพยายามในการใช้มาตรฐานนี้คือ การช่วยให้ผู้ใช้สามารถตัดสินใจและเลือกวิธีฟังที่ถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นการฝึกการฟังอย่างปลอดภัยหรือจะเป็นการฟังที่เสี่ยงต่อการสูญเสียการได้ยินและหูอื้อก็ตาม

คำแนะนำหลักๆ สำหรับการฟังอย่างปลอดภัยนั้น รวมไปถึงการมีซอฟต์แวร์บนอุปกรณ์เครื่องเสียงส่วนบุคคลที่สามารถวัดระยะเวลาและระดับเสียงที่ใช้ฟังเพลง และยังเรียกร้องให้มีระบบลดระดับเสียงอัตโนมัติบนโทรศัพท์สมาร์ทโฟนและอุปกรณ์อื่นๆ รวมถึงการควบคุมระดับเสียงโดยผู้ปกครองด้วย

หน่วยงานต่างๆ ของสหประชาชาติกล่าวว่า พวกเขาหวังว่ารัฐบาลของแต่ละประเทศรวมทั้งบรรดาผู้ผลิตจะนำมาตรฐานที่แนะนำมาใช้ เนื่องจากผู้ที่สูญเสียการได้ยินจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมากในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้

WHO และ ITU รายงานว่า ประชากร 466 ล้านคนต้องทนทุกข์กับความทุพพลภาพ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในประเทศที่มีรายได้ต่ำและรายได้ปานกลาง คาดการณ์ว่าจำนวนนี้จะเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 900 ล้านคนภายในปีพ.ศ. 2593 และว่าครึ่งหนึ่งของผู้ที่สูญเสียการได้ยินในทุกๆ กรณีสามารถป้องกันได้โดยการใช้มาตรการทางด้านสาธารณสุข