Your browser doesn’t support HTML5
Women of Courage Reward
รางวัล International Women of Courage ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ มอบให้กับสตรีจากทั่วโลก ผู้แสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญและความเป็นผู้นำในด้านการปกป้องสิทธิมนุษยชน ความเท่าเทียมทางเพศ และสนับสนุนให้เกิดความก้าวหน้าทางสังคม โดยไม่เกรงกลัวภัยอันตรายที่ตามมา
สำหรับปีนี้ มีการประกาศชื่อผู้ได้รับรางวัล 14 คนเมื่อวันที่ 28 มี.ค. และพิธีรับรางวัลมีขึ้นในวันที่ 29 มี.ค. ที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ โดยรมต.ต่างประเทศสหรัฐฯ จอห์น แครี่ เป็นผู้กล่าวยกย่องเกียรติประวัติของสตรีทั้ง 14 คน เจ้าของรางวัลในปีนี้
รมต.แครี่ กล่าวว่ารางวัลในปีนี้มอบให้แก่สตรีผู้แสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญใน 3 ด้าน หนึ่งคือการตีแผ่และต่อต้านความรุนแรงทางเพศ สองคือการต่อสู้กับปัญหาคอรัปชั่นและการปิดกั้นเสรีภาพ สามคือการสนับสนุนความยุติธรรมและปกป้องสิทธิมนุษยชน
สตรีที่ได้รับรางวัลในปีนี้ มีทั้งนักรณรงค์เพื่อต่อต้านความรุนแรงทางเพศในซีเรีย ทนายความด้านสิทธิมนุษยชนในบังกลาเทศ นักต่อสู้เพื่อสิทธิของคนข้ามเพศในมาเลเซีย นักข่าวหญิงชาวรัสเซียผู้ต่อสู่เพื่อสิทธิมนุษยชน นักรณรงค์ต่อต้านปัญหาคอรัปชั่นในเบลิซ ทนายความผู้ต่อสู้เพื่อสิทธิของพลเมืองจีนที่ถูกรัฐบาลจับกุมคุมขัง
รวมทั้งคุณรจเรข วัฒนพานิชย์ สตรีไทยคนแรกที่ได้รับรางวัลนี้
Women of Courage 2016 Awardees (L to R) Rodjaraeg Wattanapanit and Dr. Nihal Naj Ali Al-Awlaqi.
คุณรจเรข วัฒนพานิชย์ คือเจ้าของร้านหนังสือ Book Re:public ที่เชียงใหม่ และผู้ก่อตั้งโครงการห้องเรียนประชาธิปไตย หรือ Cafe’ Democracy ในประเทศไทย
รมต.ต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุว่า คุณรจเรขคือผู้สนับสนุนแนวทางประชาธิปไตย และส่งเสริมให้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างเสรีในประเทศไทย เธอเคยถูกเรียกตัวไปปรับทัศนคติมาแล้ว 2 ครั้ง และถูกกดดันให้ปิดร้านหนังสือเป็นเวลาหนึ่งปี แต่นั่นมิได้หยุดยั้งความพยายามของเธอในการสร้างความตะหนักทางการเมืองให้กับชุมชน
รมต. แครี่ กล่าวว่าคุณรุจเรขกลับมาเปิดร้านหนังสือของเธออีกครั้งเมื่อปลายปีที่แล้ว และทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการจัดเสวนาเพื่ออภิปรายประเด็นต่างๆ ทางการเมือง
รางวัล International Women of Courage มอบเป็นประจำทุกปีมาตั้งแต่ปี ค.ศ 2007 และปีนี้ถือเป็นวาระครบรอบ 10 ปี จนถึงขณะนี้มีสตรีกว่าหนึ่งร้อยคนจากมากกว่า 60 ประเทศที่เคยได้รับรางวัลนี้
(ทรงพจน์ สุภาผล เรียบเรียงรายงานจากกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ และห้องข่าววีโอเอ)