องค์การแรงงานระหว่างประเทศและสหภาพรัฐสภาลงความเห็นว่า สถานภาพของสตรีไม่ก้าวหน้าในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา รายงานขององค์กรระหว่างประเทศสองแห่ง กล่าวว่าแม้จะมีการรณรงค์เพื่อสิทธิเท่าเทียมสำหรับสตรี แต่ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา แทบจะไม่มีความก้าวหน้าเลยทั้งในเรื่องค่าจ้างแรงงานและการเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมือง
รายงานเรื่อง "Women at Work: Trends 2016" ขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ หรือที่เรียกย่อๆ ว่า ILO กล่าวว่า ช่องว่างทางเพศทางด้านการจ้างงาน ค่าจ้างแรงงานและการคุ้มครองทางสังคม แทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลยในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา
รายงานฉบับนี้กล่าวว่า แม้ผู้หญิงจะได้รับการศึกษามากขึ้น แต่ไม่มีผลกระทบเชิงบวกต่อการทำงาน
ตัวเลขของ ILO แสดงให้เห็นว่า ในปีที่แล้วมีผู้หญิงทั่วโลกทำงานเกือบ 1.3 พันล้านคน เทียบกับผู้ชายสองพันล้านคนที่มีงานทำ
Lawrence Johnson ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายงานวิจัยของ ILO บอกว่า ช่องว่างทางเพศลดลงเพียง 0.6% ในช่วงระหว่างค.ศ. 1995 - 2015 ซึ่งหมายความว่า ไม่มีความก้าวหน้าสำหรับผู้หญิงที่พยายามหางานทำ
ผู้หญิงที่ไม่มีงานทำเป็นปัญหาโดยเฉพาะในหมู่ผู้หญิงสาว และเมื่อมีงานทำ ผู้หญิงทำงานนับเป็นชั่วโมงนานกว่าผู้ชาย ไม่ว่าจะเป็นงานที่ได้รับหรือไม่ได้รับค่าจ้าง และไม่ว่าผู้หญิงจะอยู่ในประเทศที่มีระดับค่าจ้างแรงงานสูงหรือต่ำ ผู้หญิงก็ยังไม่ได้รับค่าจ้างแรงงานสำหรับการทำงานบ้านอยู่ต่อไป แม้จะทำงานประเภทนี้มากกว่าผู้ชายอย่างน้อยสองเท่าตัวครึ่งขึ้นไป
นักวิจัยของ ILO ผู้นี้กล่าวต่อไปว่า งานที่ผู้หญิงได้ทำส่วนใหญ่จะเป็นงานธุรการและงานขายของ ซึ่งมีค่าจ้างต่ำ
ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายงานวิจัยของ ILO กล่าวต่อไปว่า การประเมินการที่มีอยู่ขณะนี้ แสดงให้เห็นว่าช่องว่างทางเพศทางด้านค่าจ้างแรงงานระหว่างผู้หญิงกับผู้ชาย ต่างกันราวๆ 23% ผู้ที่ได้ต่ำกว่าคือแรงงานหญิง
เขาเชื่อว่า อาจต้องใช้เวลากว่า 70 ปีถ้าจะอยากจะกำจัดช่องว่างที่ว่านี้ให้ได้ โดยมีข้อแม้ว่า ปัจจัยอื่นๆที่เกี่ยวข้องต้องไม่เปลี่ยนแปลง
รายงานของ ILO สรุปว่า เพราะว่ามีผู้หญิงทำงานน้อยกว่าผู้ชาย และรายได้ก็น้อยกว่าด้วย เพราะฉะนั้นผู้หญิงเสียเปรียบมากในเรื่องสวัสดิการทางสังคมเมื่อถึงเวลาปลดเกษียณ
ตัวเลขของ ILO ระบุว่าผู้ที่มีอายุครบเกษียนทั่วโลกโดยไม่มีบำเหน็จบำนาญ เป็นผู้หญิงเกือบ 65% นับเป็นจำนวนแล้วเท่ากับผู้หญิงประมาณ 200 ล้านคน เปรียบเทียบกับผู้ชาย 115 ล้านคน
ส่วนในด้านการเข้าไปมีบทบาททางการเมือง รายงานของสหภาพรัฐสภา หรือเรียกชื่อย่อว่า IPU ระบุว่า ในปีที่แล้วมีผู้หญิงได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกรัฐสภาเพิ่มขึ้นเพียงครึ่งเปอร์เซ็นต์ใน 58 ประเทศ ตัวเลขทั่วโลกเท่ากับ 22.6%
Kareen Jabre ผู้อำนวยการโครงการของ IPU กล่าว ถ้าความก้าวหน้าในเรื่องนี้สำหรับผู้หญิงเป็นไปอย่างเชื่องช้าเช่นนี้ จะไปไม่ถึงเป้าหมายที่กำหนดไว้สำหรับปี ค.ศ. 2030 ในเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน หรือ Sustainable Development Goals
แต่ส่วนที่ผู้หญิงมีความก้าวหน้าคือการเข้ารับตำแหน่งผู้นำในรัฐสภา เจ้าหน้าที่ของ IPU บอกว่าเวลานี้มีผู้หญิงดำรงตำแหน่งประธานสภาเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 18% แล้ว โดยยก เนปาล นามิเบีย และสหอาหรับเอ็มมิเรตส์ ที่เลือกประธานสภาหญิงทั้งสามแห่งในปีที่แล้วมาเป็นตัวอย่าง
รายงานของ IPU กล่าวว่า ระบบโควต้ายังคงเป็นเครื่องมือที่ใช้ได้ผลอยู่ต่อไปในการเพิ่มจำนวนสมาชิกรัฐสภาหญิง แต่เตือนว่าจะต้องเป็นระบบที่มีบทลงโทษ ถ้าประเทศนั้นๆ ไม่ทำตามระบบที่กำหนดไว้