Your browser doesn’t support HTML5
ผู้เชี่ยวชาญจากองค์การอวกาศ NASA เคยให้ความเห็นเกี่ยวกับปัญหาไฟไหมป่าไว้ว่า “เป็นเรื่องปกติ ที่จะเห็นการเผาไหมบางอย่างเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา บนโลกใบนี้ของเรา”
แต่ความปกติที่ไม่ปกตินี้ นำมาซึ่งความเสี่ยงและอันตรายด้านต่างๆ มากกว่าที่หลายคนเห็นด้วยตา
ผู้เชี่ยวชาญจาก NASA อธิบายถึงไฟป่าว่าสามารถเกิดขึ้นได้ตามธรรมชาติในเวลาที่เกิดฟ้าผ่า หรือบางครั้งผู้คนใช้วิธีเผาในการเคลียร์ที่ดินเพื่อการเกษตรซึ่งอาจทำให้เกิดไฟป่าได้โดยที่ไม่ได้เจตนา
สำนักงานอุทยานแห่งชาติของสหรัฐฯ ระบุไว้ทางเว็บไซต์ว่าระหว่างปี 2000-2017 85 เปอร์เซนต์ของไฟป่าในสหรัฐฯ เกิดจากพฤติกรรมของมนุษย์ เช่นการไม่ดับกองไฟ การเผาขยะ การทิ้งก้นบุหรี่ที่ยังติดไฟอยู่ และการจุดไฟเผาโดยเจตนา หรือการลอบวางเพลิงนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าไฟป่าจะสามารถช่วยกำจัดพืชที่ตายแล้วและที่กำลังจะตายเพื่อช่วยในการปลูกพืชใหม่ แต่ไฟป่าก็ทำให้เกิดควันจำนวนมหาศาลซึ่งเป็นอันตรายต่อการหายใจ ทั้งยังปล่อยก๊าซเสียที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
ควันจากไฟป่าประกอบด้วยสารเคมีหลายร้อยชนิด และอาจก่อให้เกิดอันตรายได้หากมีปริมาณมากๆ และควันจากการเผาอาคารและบ้านเรือนยิ่งมีสารเคมีที่เป็นพิษมากกว่า เนื่องจากวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้าง
มีการวิจัยทางวิทยาศาสตร์เพิ่มมากขึ้นที่ชี้ให้เห็นถึงความเสียหายต่อสุขภาพในระยะยาวที่อาจเกิดจากการสูดหายใจอนุภาคขนาดเล็กมากๆ จากควันเข้าไป ปัญหาสุขภาพในระยะยาวเหล่านี้ได้แก่ ประสิทธิภาพการทำงานของปอดลดลง ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ และอัตราการเป็นไข้หวัดใหญ่ที่สูงขึ้น
นอกจากนี้ยังมีปัญหาสุขภาพระยะสั้นอีกด้วย แพทย์และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขกล่าวว่าผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงอาจต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลและบางครั้งอาจเสียชีวิตจากการสูดหายใจเอาควันไฟเข้าไปจำนวนมาก แม้ว่าเจ้าหน้าที่ในสหรัฐฯ จะทำงานอย่างรวดเร็วเพื่อปกป้องผู้คนจากผลกระทบที่เป็นอันตรายของควันจากไฟป่า แต่พวกเขาก็พบว่าเป็นการยากที่จะสื่อสารอันตรายเหล่านี้ไปยังชุมชนและผู้คนที่อาศัยอยู่ห่างจากไฟป่าหลายพันกิโลเมตร
Jeff Pierce นักวิทยาศาสตร์ด้านบรรยากาศที่มหาวิทยาลัย Colorado State University กล่าวว่าควันไฟแม้จะไม่มีกลิ่นแต่ก็เป็นอันตรายแม้จะเดินทางไปไกลมากแล้วก็ตาม นอกจากนี้เขาได้กล่าวถึงอากาศตามแนวชายฝั่งตะวันออกของสหรัฐฯ ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาว่าอากาศในแถบนี้ไม่ดีต่อสุขภาพ หากใครที่เป็นโรคหอบหืดหรือมีอาการใดๆ เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ อาจจะต้องเปลี่ยนแผนหากจะออกไปข้างนอก
อย่างไรก็ตาม การศึกษาเมื่อเร็วๆ นี้โดย Jeff Pierce และ Sheryl Magzamen นักวิทยาศาสตร์อีกคนหนึ่งของมหาวิทยาลัย Colorado State University พบว่าคนที่อาศัยอยู่ใกล้ๆ กับไฟป่ามักจะมีการเตรียมตัวพร้อม แต่ผู้ที่อาศัยอยู่ห่างไกลอาจไม่ทราบถึงอันตราย
แต่ก็มีวิธีการต่างๆ มากมายที่จะสามารถปกป้องตัวเองจากไฟป่าได้ เช่น การฟังคำเตือนเกี่ยวกับควันไฟ หลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้งเพื่อลดการสัมผัสควันไฟ ปิดประตูและหน้าต่าง ใช้เครื่องกรองอากาศเพื่อทำความสะอาดอากาศภายใน สวมหน้ากากซึ่งสามารถป้องกันการสูดหายใจควันไฟเข้าไป และเช่นเดียวกับการป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 การใช้หน้ากาก N95 จะมีประสิทธิภาพมากที่สุดเพราะได้รับออกแบบมาเพื่อป้องกันอนุภาคที่เล็กที่สุด
ทั้งนี้ภาพถ่ายดาวเทียมของ NASA แสดงให้เห็นว่ามีไฟป่าลุกไหม้ในทุกทวีป ตั้งแต่เอเชีย อเมริกาใต้ และแอฟริกาไปจนถึงออสเตรเลีย
ในสหรัฐฯ ศูนย์ไฟป่าระหว่างหน่วยงานแห่งชาติ (National Interagency Fire Center) รายงานว่ามีไฟป่ามากกว่า 80 แห่งกำลังลุกไหม้ในภาคตะวันตกของสหรัฐฯ ส่วนที่แคนาดา รัฐบาลระบุว่าเคยเกิดไฟป่ามากกว่า 4,500 ครั้งในปีหนึ่งที่มีอุณหภูมิสูงเป็นประวัติการณ์
ควันไฟเหล่านี้ขึ้นถึงระดับที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพในแถบอเมริกาเหนือ และสามารถมองเห็นได้จากระยะไกลเกือบ 5,000 กิโลเมตรทางชายฝั่งตะวันออก
Dan Jaffe ผู้เชี่ยวชาญด้านควันจากไฟป่าที่มหาวิทยาลัย University of Washington บอกกับ Associated Press เกี่ยวกับไฟที่ลุกลามทางฝั่งตะวันตกของสหรัฐฯ และที่แคนาดาว่า “ไฟเหล่านี้จะโหมไหม้ตลอดฤดูร้อน” และกล่าวอีกว่าคุณภาพอากาศของทุกๆ ที่ในประเทศจะแย่ลงกว่าปกติในปีนี้ด้วย