Your browser doesn’t support HTML5
เมื่อวันจันทร์ที่ 12 กุมภาพันธุ์ ทำเนียบขาวส่งคำของบประมาณมูลค่าสี่ล้านล้านดอลลาร์ สำหรับการทำงานของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ในช่วงสองปีต่อจากนี้ ซึ่งรวมถึงการขอเงินเพื่อสร้างกำแพงตามแนวพรมแดนกับเม็กซิโก และเพิ่มงบประมาณกลาโหมขึ้นอย่างมากด้วย
อย่างไรก็ตาม คำของบประมาณดังกล่าวจะเป็นผลให้ยอดขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ต้องเพิ่มขึ้นอีกถึงกว่าหนึ่งล้านล้านดอลลาร์เช่นกัน
โดยนอกจากคำขอเงินสนับสนุน 23,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อรักษาความมั่นคงปลอดภัยตามแนวพรมแดนกับเม็กซิโก ที่รวมถึงการสร้างกำแพงและเพื่อเพิ่มการกวดขันปราบปรามเรื่องคนเข้าเมืองแล้ว คำของบประมาณจากทำเนียบขาวนี้ยังจัดสรรงบประมาณให้กับกระทรวงกลาโหมถึง 7 แสนล้านดอลลาร์ สำหรับปีงบประมาณปัจจุบันด้วย
และที่พิเศษสำหรับปีนี้ คือประธานาธิบดีทรัมป์ได้ขอให้รัฐสภาจัดสรรเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์เพื่อการฟื้นฟูบูรณะระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคม
โดยรัฐบาลสหรัฐฯ หวังว่าเงินงบประมาณขั้นต้นที่รัฐสภาจะจัดสรรให้ 2 แสนล้านดอลลาร์ดังกล่าว จะถูกนำไปใช้เพื่อขยายผลในรูปของการระดมเงินทุนสมทบเพิ่มเติมจากภาคเอกชนให้ได้เป็น 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ เพื่อใช้ลงทุนปรับปรุงระบบคมนาคมต่างๆ เช่น ถนนหนทาง สะพาน ทางรถไฟ และสนามบินในสหรัฐฯ ซึ่งกำลังมีสภาพชำรุดทรุดโทรม
อย่างไรก็ตาม คำของบประมาณจากรัฐบาลสหรัฐฯ นี้มีฐานะเป็นเพียงแค่รายการข้อแนะนำเพื่อให้รัฐสภาพิจารณาเท่านั้น เพราะรัฐธรรมนูญกำหนดว่า อำนาจสิทธิ์ขาดเป็นของรัฐสภาสหรัฐฯ ในการอนุมัติการใช้จ่ายเงิน และคณะกรรมาธิการงบประมาณของรัฐสภาก็มักจะละเลยคำขอจากประธานาธิบดีและพิจารณาจัดสรรงบประมาณตามที่ตนเห็นสมควรมากกว่า
สำหรับในปีนี้ คำของบประมาณจากทำเนียบขาวไม่ได้ให้สัญญาว่าจะทำให้การใช้จ่ายเงินของรัฐบาลกลางมีความสมดุล ซึ่งก็นับว่าขัดกับเป้าหมายเดิมของพรรครีพับลิกันที่ต้องการรักษาวินัยด้านการคลังของประเทศ
และแม้กระทั่งนาย มิค มัลเวย์นีย์ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณคนปัจจุบัน ซึ่งเคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ มาก่อน ก็ยอมรับว่า หากยังดำรงตำแหน่ง ส.ส. อยู่ ตนจะไม่ออกเสียงสนับสนุนคำของบประมาณของทำเนียบขาวฉบับนี้
อย่างไรก็ตาม ในฐานะผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ นายมิค มัลเวย์นีย์ ยอมรับว่าหน้าที่ของตนขณะนี้ คือการผลักดันวาระด้านนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ให้ผ่านการพิจารณาของสภา