เทคโนโลยี ‘เชื้อเพลิงแข็ง’ คืออะไร และทำไมเกาหลีเหนือถึงพยายามเร่งพัฒนาอย่างหนัก

This photo provided April 14, 2023, by the North Korean government shows North Korean leader Kim Jong Un watching what it says is the test-launch of Hwasong-18 intercontinental ballistic missile April 13, 2023, at an undisclosed location.

เมื่อไม่นานมานี้ เกาหลีเหนือเพิ่งทดสอบขีปนาวุธวิถีโค้งข้ามทวีป (ICBM) ที่ใช้เชื้อเพลิงแข็ง ซึ่งเป็นครั้งแรกที่มีการใช้เชื้อเพลิงลักษณะนี้กับจรวดขีปนาวุธพิสัยไกล และเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามเพิ่มศักยภาพทางการรบของกรุงเปียงยางด้วยความสามารถเตรียมตัวยิงภายในระยะเวลาอันสั้น

แต่ ‘เชื้อเพลิงแข็ง’ ที่ว่านี้ คืออะไร แล้วทำไมเกาหลีเหนือถึงเร่งพัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าวมาเสริมโครงการขีปนาวุธของตน

SEE ALSO: โสมแดงโอ่แผนทดสอบขีปนาวุธวิถีโค้งข้ามทวีปขับเคลื่อนด้วยพลังงานแข็งชนิดใหม่

เทคโนโลยี ‘เชื้อเพลิงแข็ง’ คืออะไร

โดยหลัก ๆ แล้ว เทคโนโลยีเชื้อเพลิงแข็ง คือ การผสมเชื้อเพลิงและตัวออกซิไดเซอร์ หรือสารตัวให้ออกซิเจน เข้าด้วยกัน โดย ผงโลหะ เช่น อะลูมิเนียม มักถูกใช้เป็นเชื้อเพลิง และแอมโมเนียม เปอร์คลอเรต ก็เป็นตัวออกซิไดเซอร์ที่ถูกนำมาใช้มากที่สุด

เชื้อเพลิงและตัวออกซิไดเซอร์จะถูกผนวกเข้ากันด้วยวัสดุยางแข็งและบรรจุอยู่ในปลอกโลหะ เมื่อจรวดที่ใช้เชื้อเพลิงแข็งเผาไหม้ ออกซิเจนจากแอมโมเนียม เปอร์คลอเรตจะรวมเข้ากับอะลูมิเนียมเพื่อผลิตพลังงานมหาศาลและอุณหภูมิมากกว่า 2,760 องศาเซลเซียส ที่สร้างแรงขับและส่งให้ขีปนาวุธออกจากแท่นยิงได้

ใครมีเทคโนโลยีนี้อยู่ในมือบ้าง

จีนคือผู้ที่คิดค้นเทคโนโลยีเชื้อเพลิงแข็งมาตั้งแต่เมื่อหลายศตวรรษก่อน เพื่อใช้กับดอกไม้ไฟ และก่อนจะมีความก้าวหน้าเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 ด้วยงานพัฒนาของฝั่งสหรัฐฯ

Fireworks explode over the Houhai lake as residents celebrate the start of the Chinese New Year in Beijing February 9, 2013. The Lunar New Year, or Spring Festival, begins on February 10 and marks the start of the Year of the Snake, according to the Chine

ในแง่การใช้งานกับขีปนาวุธนั้น สหภาพโซเวียตยิงขีปนาวุธข้ามทวีป RT-2 ซึ่งใช้เชื้อเพลิงแข็งเป็นครั้งแรกของในช่วงต้นทศวรรษ 1970 หลังจากนั้นฝรั่งเศสได้พัฒนา S3 หรือ SSBS ซึ่งเป็นขีปนาวุธพิสัยกลางที่ใช้เทคโนโลยีเดียวกันนี้ ส่วนจีนเริ่มทดสอบจรวดที่ใช้เชื้อเพลิงแข็งในช่วงปลายทศวรรษที่ 1990

และในเดือนเมษายนปีนี้เอง เกาหลีใต้ประกาศว่า ตนก็มีเทคโนโลยีขีปนาวุธที่ใช้เชื้อเพลิงแข็ง “ซึ่งมีประสิทธิภาพและล้ำสมัย” ด้วยเช่นกัน

เปรียบเชื้อเพลง “แข็ง” และ “เหลว”

เชื้อเพลิงแบบเหลวนั้นให้พลังและแรงขับที่มากกว่า แต่มีน้ำหนักมากและต้องใช้เทคโนโลยีที่ซับซ้อน ในขณะที่ เชื้อเพลิงแบบแข็งมีความหนาแน่นและเผาไหม้ค่อนข้างเร็ว ทำให้เกิดแรงขับภายในระยะเวลาอันสั้น อีกทั้งยังสามารถเก็บรักษาไว้เป็นเวลานานโดยไม่เสื่อมสภาพ ซึ่งเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในเชื้อเพลิงแบบเหลว

แวน วาน ดีเพน อดีตผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธของรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งปัจจุบันทำงานร่วมกับโครงการ 38 North กล่าวว่า ขีปนาวุธเชื้อเพลิงแข็งใช้งานง่าย ปลอดภัยกว่า และไม่ยุ่งยากในเรื่องการขนส่ง ทั้งยังตรวจจับได้ยากกว่าเมื่อเทียบกับอาวุธเชื้อเพลิงแบบเหลว

ส่วน อันกิต แพนดา นักวิชาการอาวุโสจาก Carnegie Endowment for International Peace ในกรุงวอชิงตัน กล่าวว่า ประเทศใดก็ตามที่มีกองกำลังนิวเคลียร์ขนาดใหญ่ย่อมแสวงหาขีปนาวุธที่ขับเคลื่อนด้วยเชื้อเพลิงแข็ง ซึ่งไม่จำเป็นต้องเติมเชื้อเพลิงทันทีในช่วงก่อนการยิง ซึ่งเป็นสมรรถภาพที่เหมาะสมกว่าในการตอบโต้ต่อการโจมตีใด ๆ ในเวลาวิกฤต

อนาคตจากนี้คือ?

หลังการทดสอบเชื้อเพลิงดังกล่าวเมื่อเร็ว ๆ นี้ เกาหลีเหนือได้แถลงว่า การพัฒนาขีปนาวุธข้ามทวีป Hwasong-18 ที่ใช้เชื้อเพลิงแข็ง จะช่วยเสริมสร้างการต่อต้านการโจมตีด้วยนิวเคลียร์ได้อย่างมาก

แต่กระทรวงกลาโหมของเกาหลีใต้ก็ได้ออกแถลงการณ์แย้งสิ่งที่เกาหลีเหนือพยายามดำเนินการ โดยกล่าวว่า กรุงเปียงยางยังต้องการ “เวลาและความพยายามเพิ่มเติม" เพื่อให้เกิดความชำนาญในเทคโนโลยีดังกล่าว

อันกิต พานดา นักวิชาการอาวุโสจาก Carnegie Endowment for International Peace เห็นด้วยกับการประเมินของเกาหลีใต้ แต่ก็กล่าวเตือนว่า แม้ขีปนาวุธ Hwasong-18 อาจจะไม่ใช่ “ตัวพลิกสถานการณ์” แต่น่าที่จะทำให้การวิเคราะห์และการคำนวณต่าง ของสหรัฐฯ รวมถึงประเทศพันธมิตร มีความซับซ้อนมากขึ้น ในช่วงที่เกิดความขัดแย้งระหว่างกัน

พานดา ยังย้ำด้วยว่า "สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับสหรัฐฯ และพันธมิตร คือ การลดความเสี่ยงจากการใช้อาวุธนิวเคลียร์และการยกระดับของสถานการณ์อันเกิดจากการที่เกาหลีเหนือมีอาวุธเหล่านี้อยู่ในมือ”

  • ที่มา: รอยเตอร์