Your browser doesn’t support HTML5
นักวิเคราะห์เชื่อว่า เวียดนามกำลังเลียนแบบแนวทางพัฒนาเศรษฐกิจของจีน ซึ่งมุ่งเน้นที่ภาคการผลิต การขยายตัวของชนชั้นกลาง และการปราบปรามคอรัปชั่น
โดยเชื่อว่า เศรษฐกิจเวียดนามในขณะนี้ตามหลังจีนอยู่ราว 10 ปีเท่านั้น
เวียดนาม และจีน ซึ่งเป็นประเทศคอมมิวนิสต์สองประเทศที่มีชายแดนติดกัน แม้จะมีความเป็นศัตรูทางการเมืองจากความขัดแย้งตามแนวพรมแดน และพื้นที่ทับซ้อนในทะเลจีนใต้ แต่กลับมีความคล้ายคลึงกันอย่างยิ่งเมื่อมองในมุมของแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจ
จีนเริ่มเปิดรับการลงทุนจากต่างชาติเมื่อ 40 ปีที่แล้ว ขณะที่เวียดนามเริ่มทำตามในอีก 10 ปีต่อมา โดยทั้งสองประเทศต่างให้ความสำคัญกับการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ เพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ด้วยการเสนอผลประโยชน์จูงใจต่างๆ เช่น การยกเว้นภาษี
ปัจจุบัน เวียดนามกำลังเผชิญปัญหาคอรัปชั่น การจราจร และการขยายตัวของชนชั้นกลาง ดังที่จีนประสบมาก่อนเมื่อ 10 ปีที่แล้ว
คุณ ซอง เซง วุน นักเศรษฐศาสตร์ที่ธนาคาร CIMB เชื่อว่า พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามกำลังดำเนินรอยตามนโยบายเศรษฐกิจของพรรคคอมมิวนิสต์จีน โดยนำมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับปัจจัยแวดล้อมของเวียดนามเอง
ด้านคุณราล์ฟ แมทเธียส ผู้ก่อตั้งบริษัทที่ปรึกษาด้านธุรกิจ Infocus Mekong Research ในนครโฮจิมินห์ ชี้ว่า รัฐบาลของสองประเทศนี้ได้มุ่งเน้นที่การอัดฉีดแรงงานจำนวนมากที่มีระดับการศึกษาต่ำเข้าไปในภาคการผลิต เพื่อขยายการส่งออกสินค้าราคาถูกไปทั่วโลก
โมเดลเศรษฐกิจแบบพึ่งพาการส่งออกของจีน ช่วยกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจจีนได้ในระดับ 10% เป็นเวลาหลายปีติดต่อกัน ขณะที่เศรษฐกิจเวียดนามขยายตัวที่ระดับเกิน 6% มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2015
บริษัทต่างชาติพากันแห่เข้าไปตั้งโรงงานในจีนเพื่ออาศัยประโยชน์จากแรงงานราคาถูก จนทำให้จีนได้ชื่อว่าเป็น “โรงงานโลก” ขณะที่เวียดนามถูกจับตามองในฐานะจุดหมายแห่งใหม่ของการลงทุนต่อจากจีน หรือ “China+1” ที่ซึ่งแรงงานในภาคการผลิตยังคงมีราคาถูก โดยเฉพาะสินค้าที่ใช้ทักษะฝีมือต่ำ เช่น สินค้าสิ่งทอ ชิ้นส่วนรถยนต์ หรือ เฟอร์นิเจอร์ ในขณะที่จีนเริ่มขยับขึ้นไปสู่อุตสาหกรรมที่ใช้ทักษะฝีมือสูงกว่า เช่น ชิ้นส่วนอิเลคทรอนิคส์ สินค้าเทคโนโลยี รวมทั้งภาคบริการต่างๆ
นักวิเคราะห์หลายคนมองว่า ผลของการกระตุ้นภาคการผลิตที่เคยส่งให้จีนประสบความสำเร็จทางเศรษฐกิจมาแล้วนั้น กำลังแสดงผลเชิงบวกให้กับเศรษฐกิจเวียดนามด้วยเช่นกัน เห็นได้จากชนชั้นกลางชาวเวียดนามที่คาดว่าจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นสองเท่า ระหว่างปี ค.ศ. 2014 – 2020 อยู่ที่ระดับ 30 ล้านคน จากประชากรทั้งหมด 93 ล้านคน ตามรายงานของ Boston Consulting Group
ขณะเดียวกัน ข้อมูลการสมัครงานของชาวเวียดนามก็ชี้ให้เห็นว่า ชาวเวียดนามจำนวนมากเรียกค่าแรงเพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนมานี้ ขณะที่การจราจรที่คับคั่งมากขึ้นก็แสดงให้เห็นว่ามีจำนวนรถยนต์บนท้องถนนของเมืองใหญ่ในเวียดนามมากขึ้นเช่นกัน เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในกรุงปักกิ่งและนครเซี่ยงไฮ้ เมื่อราว 10 กว่าปีก่อน
และล่าสุด คือ มาตรการปราบปรามคอรัปชั่นของรัฐบาลเวียดนาม ที่ประกาศออกมาเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งคล้ายกับมาตรการลักษณะเดียวกันของรัฐบาลจีน ที่เริ่มใช้มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2012 ก็ยิ่งขับเน้นให้เห็นถึงความตั้งใจของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม ที่จะเดินตามเส้นทางที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ถางเอาไว้ตั้งแต่ทศวรรษที่ผ่านมา
(ผู้สื่อข่าว Ralph Jenning รายงาน / ทรงพจน์ สุภาผล เรียบเรียง)