Your browser doesn’t support HTML5
นักการเมืองที่กรุงวอชิงตันกำลังพยายามปฏิรูปกฎหมายการให้วีซ่านักลงทุนในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นประตูสู่การได้สัญชาติอเมริกัน
วีซ่านักลงทุนที่เรียกว่า EB-5 เปิดทางให้ต่างชาวชาติได้สัญชาติอเมริกัน หากว่าลงทุนหนึ่งล้านดอลลาร์เพื่อสร้างงานสิบตำแหน่ง หรือลงทุนห้าแสนดอลลาร์ถ้าโครงการธุรกิจอยู่ในเขตที่มีอัตราคนว่างงานสูง หรือเรียกย่อๆ ว่า TEA
ที่ผ่านมา ทางการสหรัฐเห็นว่ามีผู้ฉวยโอกาสจากช่องโหว่ทางกฎหมายอยู่หลายประการ เช่น แผนการลงทุนไม่ได้เกิดขึ้นจริง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการลากเส้นเขต TEA ที่ผสมระหว่างเขตคนรวยกับเขตคนตกงาน
ดังนั้นความตั้งใจที่จะให้บริเวณที่มีคนตกงานมากได้ประโยชน์ จึงไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของวีซ่านักลงทุน
ตัวอย่างเช่น กลุ่มนักลงทุนชาวจีนที่ต้องการได้สัญชาติอเมริกันกลุ่มหนึ่ง เสนอโครงการเงินลงทุน 500,000 ดอลลาร์เพื่อสร้างศูนย์บริการผู้ป่วยโรงมะเร็งในรัฐแคลิฟอร์เนีย
แต่ตามข้อกล่าวหาของคณะกรรมการกำกับดูแลตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ แกนนำของโครงการนี้สองคนใช้เงินที่ระดมได้ 27 ล้านดอลลาร์ จากชาวจีน 50 คน มาใช้ในทางที่ผิดและไม่ได้สร้างศูนย์ผู้ป่วยมะเร็งตามที่กล่าวอ้าง
นอกจากนั้นการลากเส้นเขต TEA ของโครงการดังกล่าว กินบริเวณที่เศรษฐกิจดีผสมกับส่วนที่เศรษฐกิจมีปัญหา ทำให้ตัวเลขการจ้างงานรวมเป็นไปตามเกณฑ์ แต่ในความเป็นจริง เมืองที่เป็นที่ตั้งศูนย์ดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ว่านั้นอยู่ที่เมือง Montebello ซึ่งมีระดับคนตกงานใกล้เคียงหรือดีกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศเสียอีก
Patrick Leahy วุฒิสมาชิกจากรัเวอร์มอนท์ กล่าวว่า ช่องโหว่ของกฎเรื่องการลากเส้นแบ่งเขต TEA ทำให้บริเวณที่เป็นเขตที่อยู่ของมหาเศรษฐี อย่างย่าน Beverly Hills มีอัตราคนว่างงานเข้าข่ายเดียวกันกับ Detroit ซึ่งมีปัญหาเศรษฐกิจรุมเร้ามากมาย
การที่โครงการธุรกิจใดๆ เข้าข่ายการลงทุนในเขต TEA หมายความว่า ผู้ที่ต้องการได้สัญชาติอเมริกันสามารถลงทุน 500,000 ดอลลาร์ แทนที่จะเป็น 1.5 ล้านดอลลาร์ เพื่อให้ได้สิทธิ์ตามวีซ่า EB-5
แม้เสียงวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้มีมานานตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่สภาสหรัฐฯ ยังคงไม่มีมาตรการแก้ไขใดๆ แต่กลับยืดเวลาให้เกณฑ์ที่เป็นอยู่ยังคงใช้ได้ถึงสิ้นเดือนกันยายนนี้
แต่ล่าสุด วุฒิสมาชิก Leahy และ Chuck Grassley ร่วมกันร่างกฎหมายปิดช่องโหว่วีซ่า EB-5 โดยร่างกฎหมายใหม่เสนอให้เพิ่มเงินลงทุนขั้นต่ำเป็นแปดแสนดอลลาร์สำหรับโครงการที่มีคนตกงานจำนวนมาก และหนึ่งล้านสองแสนดอลลาร์สำหรับโครงการที่อยู่ในเขตใดก็ได้
นอกจากนั้นจะกำหนดเพดานสำหรับจำนวนวีซ่า EB-5 ที่จะออกให้ในแต่ละปี สำหรับนักลงทุนที่เลือกนำเงินมาสร้างธุรกิจในย่านชนบทหรือเขตยากจน
ความกังวลว่าผลสุดท้ายจะมีการให้วีซ่า EB 5 ต่อหรือไม่ และหากมีการเปลี่ยนแปลง กฎเกณฑ์ใหม่จะเป็นอย่างไร ทำให้มีคนจำนวนมากยื่นขอวีซ่าดังกล่าวปลายปีที่แล้ว
ตัวเลขการยื่นขอวีซ่านี้เพิ่มเป็น 6,575 ในไตรมาสที่สามปีที่แล้ว จาก 2,500 ในช่วงสามเดือนก่อนหน้านั้น
โครงการวีซ่า EB-5 เริ่มขึ้นเมื่อ 24 ปีที่แล้ว และได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีผู้ได้สิทธิ์การพำนักในสหรัฐฯ เพิ่มเป็นเกือบ 9,000 คนปีที่แล้ว เทียบกับกว่า 600 คนเมื่อ 8 ปีก่อน
(รายงานโดย Chris Hannas / เรียบเรียงโดย รัตพล อ่อนสนิท)