Your browser doesn’t support HTML5
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ กล่าวว่า ตนสามารถทำให้ประเทศสมาชิกองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือ NATO ยอมร่วมกันเพิ่มการสนับสนุนด้านการเงินต่อหน่วยงานพันธมิตรด้านความมั่นคงนี้
คำประกาศนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ในช่วงที่ผ่านมา ผู้นำสหรัฐฯ แสดงความไม่พอใจในกรณีที่ตนเห็นว่า รัฐบาลอเมริกันแบกรับภาระมากเกินไปในการสนับสนุน NATO และบอกว่าเรื่องนี้ไม่เป็นธรรมต่อผู้เสียภาษีชาวอเมริกัน
ตั้งแต่การเริ่มประชุมสุดยอด NATO วันพุธ เขาเร่งเร้าให้ประเทศสมาชิกเพิ่มเงินอัดฉีกด้านกลาโหมต่อองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ
โดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวว่า “มีความคืบหน้าที่ยิ่งใหญ่เกิดขึ้น โดยที่ทุกคนตกลงที่จะเพิ่มการสนับสนุน NATO อย่างมีนัยสำคัญ”
อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมถึงระดับการให้เงินสนับสนุนที่มากขึ้น ผู้นำสหรัฐฯ ได้เพียงแต่บอกว่ามีการยอมรับโดยบางประเทศว่า จะให้งบประมาณต่อ NATO คิดเป็นร้อยละ 2 ของขนาดเศรษฐกิจ
ก่อนหน้านี้หนึ่งวัน โดนัลด์ ทรัมป์ แนะนำว่า ควรมีการยกระดับเงินอุดหนุนเป็นร้อยละ 4 ของขนาดเศรษฐกิจ ภายใน 6 ปีจากนี้
เขากล่าวในวันพฤหัสบดีว่า ขณะนี้ NATO ผ่านการ “ปรับเครื่อง” เรียบร้อยแล้ว
แต่ผู้สื่อข่าว Henry Ridgwell ของวีโอเอ ตั้งข้อสังเกตว่าพันธมิตรในยุโรปดูเหมือนจะปฏิเสธเรื่องการเกิดความตกลงกันอย่างเป็นรูปธรรมว่าด้วยการเพิ่มเงินให้กับ NATO
นางอังเกลา เมอร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี กล่าวว่า “เราจะคุยกันว่าจะลงทุนด้านเครื่องมือเพิ่มมากขึ้นเท่าใด และเพื่อความกระจ่าง นี่เป็นเรื่องเครื่องมือ ไม่ใช่การเพิ่มขึ้นด้านกองกำลัง”
โดยรวม ผู้นำประเทศสมาชิก NATO หวังว่า องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ จะสามารถเดินหน้าผ่านข้อเรียกร้องของโดนัลด์ ทรัมป์ เรื่องเงินสนับสนุนเพิ่ม เพื่อที่จะได้ให้ความสนใจหลักไปที่การยุติสงครามที่ยาวนานในอัฟกานิสถาน
เลขาธิการ NATO นายยาน สโตลเตนเบิร์ก (Jan Stoltenberg) ต้องการให้มีการสนับสนุนด้านการเงินต่อกองกำลังความมั่นคงชาวอัฟกันไปอีก 6 ปีจากนี้ แม้ว่าประชาชนในโลกตะวันตกต่างเบื่อหน่ายกับการเข้าร่วมในความขัดแย้งในอัฟกานิสถาน
หลังจากการประชุม NATO ที่กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม ประธานาธิบดีทรัมป์มุ่งหน้าไปอังกฤษ และตามด้วยการเยือนกรุงเฮลซิงกิประเทศฟินแลนด์ ในวันจันทร์ ซึ่งน่าจะมีการพบกันระหว่างเขากับ ประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย
แน่นอนว่าการพบกันของผู้นำทั้งสองจะเป็นที่จับตามองจากสื่ออย่างใกล้ชิด
(รายงานโดยผู้สื่อข่าววีโอเอ / รัตพล อ่อนสนิท เรียบเรียง)