Your browser doesn’t support HTML5
ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ โรเบิร์ต ไลท์ธิเซอร์ กล่าวว่า ข้อตกลงการค้าฉบับใหม่ระหว่างสหรัฐฯ กับเม็กซิโก จะเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศ โดยจะช่วยสรา้งงานทั้งในภาคอุตสาหกรรมและเกษตรกรรม
ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เปิดเผยเรื่องการบรรลุข้อตกลงฉบับใหม่กับเม็กซิโกเมื่อวานนี้ ซึ่งคาดว่าจะนำมาใช้แทนข้อตกลงการค้าเสรีแถบอเมริกาเหนือ หรือ NAFTA แต่ยังไม่มีการหารือรายละเอียดขั้นสุดท้าย
ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า ประเด็นสำคัญของข้อตกลงฉบับใหม่คือการเพิ่มปริมาณการผลิตรถยนต์ของทั้งสหรัฐฯ และเม็กซิโก เพื่อกีดกันการนำเข้ารถยนต์จากทางเอเชีย โดยเฉพาะจากประเทศจีน
โดยข้อตกลงฉบับใหม่นี้กำหนดให้ 75% ของชิ้นส่วนของรถยนต์หนึ่งคันที่ขายในตลาดอเมริกาและเม็กซิโก ต้องผลิตในสหรัฐฯ หรือเม็กซิโกเท่านั้น เพิ่มจากอัตราส่วนเดิมที่ 62.5% ในข้อตกลง NAFTA
นอกจากนี้ 40% - 45% ของชิ้นส่วนรถยนต์ดังกล่าวต้องผลิตโดยพนักงานที่มีรายได้สูงกว่าชั่วโมงละ 16 ดอลลาร์ โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มอัตราค่าแรงขั้นต่ำของคนงานเหล่านี้
ปัจจุบัน ค่าแรงของคนงานโรงงานรถยนต์ในสหรัฐฯ อยู่ที่ระดับเฉลี่ยสูงกว่า 22 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง ขณะที่ของเม็กซิโกอยู่ที่ $3.50 / ชม. ซึ่งอัตราค่าแรงที่เพิ่มขึ้นอาจมีผลให้ราคารถยนต์ที่ขายในสหรัฐฯ และเม็กซิโก เพิ่มขึ้นเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม รัฐสภาของทั้งสองประเทศจะต้องรับรองข้อตกลงฉบับใหม่นี้ในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้าเสียก่อน ซึ่งหากผ่านการรับรองจะมีผลบังคับใช้ไป 6 ปี จากนั้นจะมีการทบทวนโดยทั้งสองประเทศ หากทั้งสองฝ่ายเห็นชอบก็จะขยายเวลาไปอีก 16 ปี
ปัจจุบัน มูลค่าการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับเม็กซิโก อยู่ที่ระดับ 616,000 ล้านดอลลาร์เมื่อปีที่แล้ว โดยสหรัฐฯ ได้เปรียบดุลการค้ากับเม็กซิโกประมาณ 63,000 ล้านดอลลาร์
สำหรับแคนาดา ซึ่งทรัมป์ขู่ว่าอาจถูกโดดเดี่ยวจากข้อตกลงฉบับใหม่นี้ ล่าสุดทางรัฐมนตรีต่างประเทศแคนาดาได้มุ่งหน้ามายังกรุงวอชิงตันเพื่อเจรจาการค้ากับผู้แทนการค้าสหรัฐฯ แล้ว แต่ยังไม่ชัดเจนว่าทั้งสองประเทศจะสามารถขจัดความแตกต่างเรื่องภาษีรถยนต์และผลิตภัณฑ์จากนมที่เป็นปัญหาคาราคาซังมานานได้อย่างไร