สหรัฐฯ สั่ง J&J ใช้โรงงานวัคซีนแทนแอสตราเซเนกา หลังเกิดเหตุวัคซีนโควิดเสียหาย 15 ล้านโดส

Boxes of the Johnson & Johnson COVID-19 vaccine are seen at the McKesson Corporation, in Shepherdsville, Kentucky, March 1, 2021.

สหรัฐฯ สั่งการให้บริษัทเวชภัณฑ์ จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (Johnson and Johnson - J&J) เข้าจัดการโรงงานผลิตวัคซีนแห่งหนึ่งในเมืองบัลติมอร์ รัฐแมรี่แลนด์ แทนบริษัท แอสตราเซเนกา (AstraZeneca) หลังเกิดเหตุการณ์วัคซีนโควิดเสียหาย 15 ล้านโดส จากการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขระดับสูงของสหรัฐฯ

บริษัท J&J ระบุว่าได้เข้าทำหน้าที่รับผิดชอบอย่างสมบูรณ์ที่โรงงาน Emergent BioSolutions พร้อมเน้นย้ำว่าจะสามารถส่งมอบวัคซีนโควิด 100 ล้านโดสให้รัฐบาลอเมริกันได้ภายในสิ้นเดือนพฤษภาคมนี้

เจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุขผู้ไม่เปิดเผยชื่อ ระบุว่า กระทรวงบริการสาธารณสุขและประชาชนของสหรัฐฯ สนับสนุนให้บริษัท J&J เข้าดูแลโรงงานแห่งนี้แทน แต่ทางทำเนียบขาวยังมิได้ออกมาให้ความเห็นแต่อย่างใด

ด้านบริษัทแอสตราเซเนกา กล่าวว่า จะทำงานร่วมกับรัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดน เพื่อหาแหล่งผลิตวัคซีนโควิดของบริษัทต่อไป แม้จนถึงขณะนี้ วัคซีนของแอสตราเซเนกาจะยังไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ในสหรัฐฯ ได้ก็ตาม

สื่อนิวยอร์กไทมส์ รายงานเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า พนักงานที่โรงงาน Emergent BioSolution แห่งนี้ ผสมรวมส่วนประกอบในวัคซีนของสองบริษัท คือ จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน และ แอสตราเซเนกา เข้าด้วยกันเมื่อหลายสัปดาห์ก่อน นำไปสู่การทำลายวัคซีนทิ้งหลายล้านโดส

ทาง J&J ยืนยันว่าวัคซีนที่ถูกทำลายไปนั้นมิได้เล็ดลอดเข้าสู่กระบวนการผลิตวัคซีนขั้นต่อไปแต่อย่างใด แต่การตัดสินใจของรัฐบาลที่ให้ J&J เข้าดูแลจัดการโรงงานแห่งนี้เพียงผู้เดียว เป็นความพยายามเพื่อป้องกันความผิดพลาดในอนาคต

ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อของสหรัฐฯ กล่าวกับรอยเตอร์ว่า ในที่สุดแล้ว สหรัฐฯ อาจไม่ต้องการใช้วัคซีนของแอสตราเซเนกาแม้ว่าจะสามารถผ่านการรับรองได้ในอนาคต เนื่องจากวัคซีนที่มีอยู่ของสามบริษัท คือ J&J โมเดอร์นา และไฟเซอร์ น่าจะเพียงพอแล้วสำหรับประชาชนอเมริกันทุกคน