'วิชากฏหมาย' ได้รับความนิยมอีกครั้งในสหรัฐฯ หลัง "ทรัมป์" ขึ้นเป็นผู้นำประเทศ

Students graduating from the School of Law cheer as they receive their degrees during the 364th Commencement Exercises at Harvard University in Cambridge, Massachusetts May 28, 2015. REUTERS/Brian Snyder - RTX1EZC9

Your browser doesn’t support HTML5

วิชากฏหมายได้รับความนิยมอีกครั้งในสหรัฐฯ

การสมัครเข้าเรียนในวิชากฏหมายของสหรัฐฯ ได้กลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้ง หลังจากจำนวนคนที่สมัครเข้าเรียนลดลงมานานหลายปีติดต่อกัน เเละมีความกังวลอย่างมากต่อคุณค่าของปริญญาบัตรด้านกฏหมาย

Law School Admission Council รายงานว่า ในปีการศึกษาใหม่ที่จะเริ่มต้นขึ้นในฤดูใบไม้ร่วงหน้า มีผู้สมัครเข้าเรียนในวิชากฏหมายเพิ่มขึ้นเกือบ 12 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้านี้

จำนวนผู้สมัครเรียนโรงเรียนกฏหมายนี้เพิ่มขึ้นอย่างมากเป็นครั้งเเรกตั้งเเต่ก่อนเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งสุดท้าย เเละบรรดาคณบดีภาควิชากฏหมายกับที่ปรึกษาก่อนเข้าเรียนกฏหมาย ต่างเเสดงความคิดเห็นถึงทฤษฎีหลายอย่างด้วยกันที่กระตุ้นการหวนคืนของความนิยมเรียนวิชากฏหมาย

อาทิ บรรยากาศการเมืองในขณะนี้ ที่ผลักดันให้ประเด็นทางกฏหมายหลายอย่างได้รับความสนใจของประชาชน การฟื้นตัวของเศรษฐกิจเเละตลาดงานด้านกฏหมาย เเละโรงเรียนกฏหมายในสหรัฐฯ ยังคงเดินหน้าลดราคาค่าเล่าเรียนให้เเก่นักศึกษาระดับหัวกะทิ

เกร็กกอรี่ ชาฟเฟอร์ (Gregory Shaffer) ฝ่ายให้คำปรึกษาก่อนเข้าเรียนกฏหมาย ที่มหาวิทยาลัยเเห่งรัฐเเมรี่เเลนด์ (University of Maryland) กล่าวว่า ทุกคนเริ่มเห็นความนิยมเรียนด้านกฏหมายหวนกลับมาอีกครั้ง

เจโรมี ออร์เเกน (Jerome Organ) ศาสตราจารย์ด้านกฏหมายที่มหาวิทยาลัยเเห่งเซนท์ โทมัส ในรัฐมินเนสโซต้า (University of St. Thomas) ประมาณล่วงหน้าว่า จำนวนผู้สมัครเรียนในปีการศึกษาหน้าที่จะเริ่มในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ปี ค.ศ. 2018 นี้ อาจจะเพิ่มขึ้นไปจนถึง 61,000 ถึง 63,000 คน

บรรดานักศึกษาเเละที่ปรึกษาก่อนเรียนกฏหมายชี้ว่า สาเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้มีคนสมัครเรียนกฏหมายมากขึ้นนี้ ส่วนหนึ่งมาจากความวุ่นวายทางกฏหมายในช่วงปีแแรกที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ดำรงตำเเหน่งเป็นผู้นำประเทศ

รวมทั้งการสอบสวนของอัยการอิสระ เกี่ยวกับข้อกล่าวหาที่ว่ารัสเซียเเทรกเเซงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปี 2016

ในช่วงต้นปี 2017 ชาวอเมริกันหลายพันคนติดตามชมการถ่ายทอดสดการไต่สวนของศาลอุธรณ์ครั้งเเรก ในคดีฟ้องร้องการคัดค้านคำสั่งของประธานาธิบดีทรัมป์ ที่ห้ามประชาชนจากชาติมุสลิมบางชาติไม่ให้เดินทางเข้าสหรัฐฯ

เเละตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา การต่อสู้ด้านสิทธิของคนข้ามเพศ (transgender) ความเท่าเทียมทางอินเตอร์เน็ท (net neutrality) ตลอดจนประเด็นเกี่ยวกับเมืองที่ให้ที่พักพิงเเก่คนเข้าเมืองโดยผิดกฏหมาย (sanctuary cities) ได้กลายเป็นข่าวพาดหัวในสื่อมวลชนของสหรัฐฯ

บรรดาที่อาจารย์ปรึกษาต่างต่างชี้ว่า ข่าวเหล่านี้มีอิทธิพลต่อนักศึกษามหาวิทยาลัย โดยหลายคนบอกว่าอยากเรียนทางด้านกฏหมายคนเข้าเมือง สิทธิประชาชน หรือไม่ก็กฏหมายรัฐธรรมนูญ

และเมื่อคุณค่าของการเรียนกฏหมายเพิ่มขึ้นในสหรัฐฯ ตลาดงานของคนที่เรียนจบด้านนี้ก็ดีขึ้นตามไปด้วย เช่นเดียวกับทุนการศึกษา

สมาคมการว่างจ้างงานทางกฏหมายเเห่งชาติ (National Association for Law Placement) ชี้ว่า ตลาดงานกฏหมายในตำเเหน่งเริ่มต้นกำลังเติบโตขึ้นเป็นปีที่สามติดต่อกัน โดยนักศึกษารุ่นปี 2016 มีอัตราการได้งานทำ 87.5 เปอร์เซ็นต์ ภายใน 10 เดือนหลังเรียนจบ

เเละเมื่อตลาดงานด้านกฏหมายดีขึ้น พ่อแม่อาจจะมั่นใจมากขึ้น เเละสนับสนุนให้บุตรเรียนต่อทางกฏหมาย

เวลานี้ การอบรมก่อนเข้าเรียนกฏหมายที่เคยดึงดูดนักเรียนเข้าร่วมเพียงเเค่ 10 – 15 คน ในตอนนี้มีคนจองที่นั่งเต็มหมด เหลือเฉพาะที่ยืนเท่านั้น

แต่คุณลู เพาเวอร์ส (Lou Powers) ที่ปรึกษาก่อนเรียนกฏหมายที่มหาวิทยาลัยเเห่งรัฐฟลอริด้า (University of Florida) กล่าวว่า เเม้กระนั้น จำนวนคนที่เข้าไปทำงานในบริษัทกฏหมายใหญ่ๆ ยังอยู่ที่เเค่เกือบ 1,000 คนเท่านั้น

ขณะเดียวกัน ผลการวิเคราะห์โดยศาสตราจารย์ ดีเรค มุลเลอร์ (Derek Muller) เเห่งภาควิชากฏหมาย มหาวิทยาลัยเพ็พเพอร์ไดน์ (Pepperdine University School of Law) ชี้ว่า การเรียนด้านกฏหมายในสหรัฐฯ ยังเสียค่าใช้จ่ายสูง โดยค่าเล่าเรียนมักอยู่ที่ราว 45,000 ดอลล่าร์สหรัฐฯต่อปี เเต่โรงเรียนกฏหมายมักเสนอทุนการศึกษามากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเพื่อดึงดูดผู้สมัคร

อย่างไรก็ตาม โรงเรียนกฏหมายบางเเห่งเตือนว่า อาจจะมีการลดค่าเล่าเรียนไม่มากเท่าเดิม เพราะจำนวนผู้สมัครเข้าเรียนเพิ่มขึ้น จึงต้องเเข่งขันกันมากขึ้น

(เรียบเรียงโดยทักษิณา ข่ายแก้ว วีโอเอภาคภาษาไทยกรุงวอชิงตัน)