นักวิเคราะห์เตือน 'ทรัมป์' กำลังปิดประตูทางการทูต หลังปะทะคารมดุเดือดกับผู้นำโสมแดง

Your browser doesn’t support HTML5

'ทรัมป์' กำลังปิดประตูทางการทูต หลังปะทะคารมดุเดือดกับผู้นำโสมแดง

การปะทะคารมอย่างดุเดือดระหว่าง ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ กับรัฐบาลเกาหลีเหนือ เมื่อสัปดาห์ที่แล้วต่อเนื่องมาถึงสัปดาห์นี้ ทำให้บรรดาผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า การแก้ปัญหาเรื่องโครงการนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือด้วยวิธีทางการทูตนั้น อาจเป็นไปไม่ได้อีกต่อไป

ที่ผ่านมา บรรดาผู้นำของสหรัฐฯ และเกาหลีเหนือ ต่างแลกเปลี่ยนคำขู่และการดูถูกเหยียดหยามกันและกันอย่างดุเดือด โดย ปธน.ทรัมป์ เรียกผู้นำคิม จอง อึน ว่าเป็น “Little Rocket Man” ส่วนทางผู้นำคิมก็เรียก ปธน.สหรัฐฯ ว่า “Dotard” ที่หมายถึงคนแก่ที่หลงๆ ลืมๆ​

และ ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวเมื่อวันอังคารว่า หากสหรัฐฯ ตัดสินใจใช้กำลังทหาร เกาหลีเหนือจะต้องถูกทำลายราบคาบ แม้ว่านั้นจะไม่ใช่ทางเลือกแรกในการจัดการกับรัฐบาลกรุงเปียงยางก็ตาม

ในสัปดาห์นี้ รัฐมนตรีต่างประเทศเกาหลีเหนือ รี ยอง โฮ กล่าวว่าคำขู่ของ ปธน.ทรัมป์ เปรียบเสมือนการประกาศสงครามกับกรุงเปียงยาง และเตือนว่าเกาหลีเหนือจะยิงเครื่องบินรบของสหรัฐฯ ทุกลำ ที่บินเข้ามาเฉียดคาบสมุทรเกาหลี นอกจากนี้ ยังขู่ด้วยว่าเกาหลีเหนือจะทดสอบระเบิดไฮโดรเจนครั้งใหม่ในมหาสมุทรแปซิฟิกในเร็ววันนี้

ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า หากเกาหลีเหนือทดสอบระเบิดไฮโดรเจนครั้งใหม่จริงๆ อาจนำไปสู่การใช้มาตรการทางทหารของสหรัฐฯ ได้

นักวิเคราะห์หลายคนเตือนว่า ภายใต้สภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยความตึงเครียดเช่นนี้ ความผิดพลาดเล็กๆ แค่ครั้งเดียว ก็อาจนำไปสู่หายนะครั้งใหญ่ได้

คุณ Robert Gallucci ประธานสถาบัน US – Korea ที่มหาวิทยาลัย Johns Hopkins และอดีตเจ้าหน้าที่เจรจาด้านเกาหลีเหนือ ในสมัย ปธน.บิล คลินตัน เชื่อว่าเวลานี้สงครามบนคาบสมุทรเกาหลีอาจเกิดขึ้นได้ทุกขณะ และแรงกดดันทางเศรษฐกิจต่อเกาหลีเหนือที่สหรัฐฯ ใช้อยู่ในขณะนี้ ไม่น่าจะทำให้เกาหลีเหนือยอมปลดอาวุธนิวเคลียร์ได้

การปะทะคารมระหว่างผู้นำสหรัฐฯ กับเกาหลีเหนือดังกล่าว ทำให้เชื่อว่าการใช้วิธีทางการทูตใดๆ ก็ตาม ไม่น่าจะช่วยบรรเทาความขัดแย้งบนคาบสมุทรเกาหลีได้ และยิ่งชัดเจนว่าเกาหลีเหนือคงจะไม่ยอมยกเลิกโครงการอาวุธนิวเคลียร์แน่นอน

ที่ผ่านมา ดูเหมือนผู้นำคิม จอง อึน ไม่ต้องการจะเจรจาใดๆ กับรัฐบาลต่างชาติ ในเรื่องโครงการนิวเคลียร์ของกรุงเปียงยาง ซึ่งต่างจากในสมัยผู้นำคนก่อน คือ คิม จอง อิล ที่ตกลงให้มีการระงับโครงการนิวเคลียร์ชั่วคราว แลกกับความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจ

ถึงกระนั้น นักวิเคราะห์บางคนเชื่อว่า หากรัฐบาลสหรัฐฯ เสนอว่าจะยุติการซ้อมรบกับเกาหลีใต้ และตกลงลดกำลังทางการทหารในภูมิภาคเอเชียตะวันออก ก็อาจทำให้คิม จอง อึน เปลี่ยนใจกลับสู่โต๊ะเจรจาเพื่อระงับการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ได้

ตั้งแต่ผู้นำรุ่นที่สามของเกาหลีเหนือขึ้นปกครองประเทศ เกาหลีเหนือตอบโต้มาตรการลงโทษทางเศรษฐกิจของประชาคมโลก ด้วยการทดสอบขีปนาวุธและนิวเคลียร์บ่อยขึ้นและรุนแรงยิ่งขึ้น

KOTRA สำนักงานด้านการค้าและการลงทุนของเกาหลีใต้ ซึ่งทำหน้าที่ตรวจสอบกิจกรรมทางเศรษฐกิจของเกาหลีเหนือ ระบุว่า แม้การค้าขายระหว่างเกาหลีเหนือกับประเทศอื่นๆ ลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ ปี ค.ศ. 2014 แต่เศรษฐกิจของเกาหลีเหนือยังคงขยายตัว และดูเหมือนชนชั้นผู้นำของเกาหลีเหนือก็มั่งคั่งขึ้นเรื่อยๆ เห็นได้จากปริมาณการนำเข้าสินค้าแบบหรูหราฟุ่มเฟือยเพิ่มขึ้นอย่างมาก

KOTRA เชื่อว่า มาตรการลงโทษชุดใหม่ที่สหประชาชาติประกาศเมื่อต้นเดือนนี้ อาจทำให้ปริมาณการค้าของเกาหลีเหนือลดลง 90% และการนำเข้าน้ำมันลดลง 30% แต่เชื่อว่าในที่สุดแล้ว จีนกับรัสเซียจะไม่เห็นด้วยการการลงโทษครั้งนี้ เพราะนั่นหมายถึงเสถียรภาพที่สั่นคลอนของรัฐบาลกรุงเปียงยาง ซึ่งก็อาจทำให้สหรัฐฯ และเกาหลีใต้ สบโอกาสที่จะยึดครองคาบสมุทรเกาหลีทั้งหมดหลังการล่มสลายของระบอบผู้นำคิม จอง อึน

(ผู้สื่อข่าว Brian Padden รายงานจากกรุงโซล / ทรงพจน์ สุภาผล เรียบเรียง)