ขณะที่วันครบรอบ 1 ปี ของเหตุการณ์ก่อการจลาจลบุกอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ โดยกลุ่มผู้สนับสนุนอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เพื่อประท้วงการลงมติรับรองผลการเลือกตั้งประธานาธิบดี โจ ไบเดน ใกล้จะมาถึง การไต่สวนหาผู้ผิดยังคงดำเนินต่อไป แต่สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในสหรัฐฯ คงหนีไม่พ้น การปฏิบัติงานของหน่วยงานตำรวจที่รับผิดชอบอาคารสำคัญและพื้นที่รอบๆ นี้
เมื่อ 1 ปีก่อน ในช่วงที่ผู้สนับสนุนหลายพันคนบุกเข้ายึดอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ ในกลางกรุงวอชิงตัน เจ้าหน้าที่ตำรวจประจำรัฐสภา หรือ Capitol Police ต้องเผชิญกับสถานการณ์หนักที่ไม่เคยประสบมาก่อน และเจ้าหน้าที่หลายนายได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการปะทะกับผู้ก่อเหตุ จนเมื่อสถานการณ์คลี่คลายลงแล้ว กองกำลังที่ได้รับมอบหมายให้ปกป้องรักษาสัญลักษณ์ของประชาธิปไตยสหรัฐฯ นี้ได้เข้าสู่กระบวนการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
เริ่มต้นด้วยการปลดเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่รับผิดชอบดูแลกองกำลังแห่งนี้ ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก เนื่องจากไม่สามารถรักษาอาคารที่ทำการของฝ่ายนิติบัญญัติของประเทศจากการโจมตีของกลุ่มผู้ก่อจลาจลได้ ก่อนที่หน่วยงานนี้ซึ่งปกติจะเป็นที่รู้จักกันมากกว่าสำหรับผู้ที่อยู่ในพื้นที่วอชิงตัน ดี.ซี จะได้รับการยกเครื่องใหม่ พร้อมงบประมาณเพิ่มขึ้นราว 15% รวมทั้งการปรับเปลี่ยนนโยบายการทำงานให้มีบทบาทประสานงานกับหน่วยงานอื่นๆ เพื่อดูแลภูมิภาคที่เกี่ยวข้อง
Your browser doesn’t support HTML5
อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่เกิดความแตกแยกด้านแนวคิดทางการเมืองอย่างหนักในสหรัฐฯ พร้อมๆ กับกรณีการขู่ทำร้ายสมาชิกรัฐสภาสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นสูงอย่างไม่เคยมีมาก่อน หลายฝ่ายยังกังวลว่า Capitol Police จะมีความพร้อมมากเพียงใดที่จะรับมือกับภัยคุกคามต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น
แต่ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า เหตุก่อจลาจลช็อกประเทศเมื่อปีที่แล้วได้ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่จำเป็นแล้วจริงๆ ซึ่งรวมถึง การปรับปรุงระบบการสื่อสารระหว่างกองกำลังตำรวจรัฐสภา หน่วยงานรักษากฎหมายอื่นๆ และสาธารณชนด้วย
ชัค เว็กซ์เลอร์ (Chuck Wexler) ประธานกลุ่ม Police Executive Research Forum ซึ่งเป็นองค์กรที่มุ่งเน้นการส่งเสริมความเป็นมืออาชีพของเจ้าหน้าที่ตำรวจ กล่าวว่า กองกำลัง Capitol Police นั้น เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากในแง่ของระบบความคิดและการปฏิบัติหน้าที่ เมื่อเทียบสถานการณ์ปีนี้กับปีที่แล้ว โดยเจ้าหน้าที่หน่วยนี้ “จะมีความพร้อมอย่างล้นเหลือ และมีความเต็มใจที่จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า มีการเตรียมพร้อมมากเกินไปด้วย”
อดีตรักษาการผู้บัญชาการตำรวจ โยกานันดา พิตต์แมน ซึ่งเป็นผู้ออกหน้าเป็นตัวแทน Capitol Police ในการต่างๆ เป็นการชั่วคราว ยอมรับกับสภาคองเกรสเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ของปีที่แล้วว่า เกิดความล้มเหลวในหลายชั้นของการปฏิบัติงานของหน่วยนี้ จนทำให้ผู้ก่อเหตุจลาจลสามารถบุกเข้ามาภายในอาคารรัฐสภาสำเร็จ แต่เธอแย้งคำพูดที่ระบุว่า หน่วยงานรักษากฎหมายนั้นล้มเหลวในการรับมือกับภัยคุกคามอย่างจริงจัง พร้อมอธิบายว่า กองกำลังตำรวจรัฐสภาได้แจกจ่ายเอกสารเป็นการภายในเพื่อเตือนให้เตรียมระวังการก่อเหตุรุนแรงโดยกลุ่มลัทธิหัวรุนแรงก่อนจะเกิดเหตุจลาจลล่วงหน้าหลายวันแล้ว
สำนักข่าว เอพี ได้รับสำเนาเอกสารของหน่วยสืบราชการลับจากกรมตำรวจที่ว่า ซึ่งแสดงให้เห็นว่า มีการรวบรวมข้อมูลมาจากหลายแหล่งที่สรุปความได้ว่า กลุ่มฝูงชนที่จะมาชุมนุมประท้วงอาจก่อเหตุรุนแรงได้ ทั้งยังอาจตั้งเป้าบุกสภาคองเกรสด้วย พร้อมกับเตือนว่า จำนวนผู้เข้าร่วมอาจมากถึงนับหมื่นคน และอาจมีสมาชิกของกลุ่มหัวรุนแรง เช่น กลุ่ม Proud Boys เข้าร่วมด้วย
ทั้งนี้ คณะกรรมการกองกำลังตำรวจรัฐสภา ซึ่งมีหน้าที่ดูแลการปฏิบัติงานของหน่วยนี้ และประกอบไปด้วยตำรวจสภาผู้แทนราษฎร และตำรวจวุฒิสภา รวมทั้งสถาปนิกผู้ดูแลอาคาร เพิ่งลงมติเลือก เจ โธมัส แมนเจอร์ อดีตผู้บังคับบัญชาตำรวจประจำเทศมณฑลแฟร์แฟ็กซ์เ
หลังเกิดเหตุการณ์ความวุ่นวายจากการบุกเข้ายึดอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ ซึ่งช็อกคนทั่วประเทศไปเมื่อวันที่ 6 มกราคม ของปีที่แล้ว หลายคนแอบคิดว่า ทิศทางการเมืองของสหรัฐฯ อาจมีโอกาสกลับไปสู่ภาวะปกติอีกครั้งเมื่อสถานการณ์จบลง เพราะภาพความรุนแรงที่เกิดขึ้นทั้งภายในและภายนอกอาคารสัญลักษณ์ของระบอบประชาธิปไตยของประเทศที่เกิดขึ้นจากคำกล่าวหาของอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ว่า ตนถูกปล้นชัยชนะในการเลือกตั้งเมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี ค.ศ. 2020 นั้น น่าจะทำให้ทุกฝ่ายกลับมาประเมินดูอีกครั้งว่า วาทกรรมทางการเมืองใดคือแบบที่ควรยอมรับกันได้
แต่ผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนในสหรัฐฯ แสดงให้เห็นว่า เกือบ 2 ใน 3 ของชาวอเมริกันเชื่อว่า ประชาธิปไตยของประเทศนี้ “ตกอยู่ในภาวะวิกฤตและกำลังเผชิญความเสี่ยงที่จะพังทลายอยู่” ขณะที่ เกือบ 1 ใน 3 ระบุว่า ความรุนแรงทางการเมืองนั้น บางครั้งเป็นสิ่งที่ควรเกิดขึ้นและยอมรับได้
นอกจากนั้น มหาวิทยาลัยแห่งแมสซาชูเซตส์ เปิดเผยผลสำรวจชิ้นล่าสุดที่แสดงให้เห็นว่า ผู้สนับสนุนพรรครีพับลิกันที่เชื่อว่า การเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งล่าสุดมีการทุจริตนั้นสูงถึง 71% โดยจำนวนนี้คิดเป็นสัดส่วน 33% ของประชากรรวมด้วย
ในส่วนของการเคลื่อนไหวทางการเมืองนั้น เมื่อปีที่แล้ว รัฐบาลในหลายรัฐที่พรรครีพับลิกันกุมเสียงข้างมากเริ่มดำเนินการผ่านร่างกฎหมายเลือกตั้งใหม่ๆ ออกมา โดยข้อมูลที่ ศูนย์ Brennan Center for Justice ซึ่งตั้งอยู่ในกรุงวอชิงตัน เก็บรวบรวมมาได้ระบุว่า มีรัฐดังกล่าวถึง 19 รัฐที่ผ่านกฎหมายใหม่ออกมารวมกันถึง 33 ฉบับ ที่มีผลจำกัดสิทธิ์การเข้าถึงบัตรลงคะแนนเลือกตั้ง
ขณะเดียวกัน รัฐอื่นๆ ที่พรรครีพับลิกันคุมอยู่ได้ผ่านกฎหมายใหม่ๆ ที่ยึดอำนาจการจัดการเลือกตั้งจากเลขานุการรัฐ หรือเจ้าหน้าที่จัดการเลือกตั้งท้องถิ่น มาอยู่ในมือของสมาชิกสภารัฐแทน เช่น รัฐจอร์เจีย และรัฐแอริโซนา ที่ผลการเลือกตั้งครั้งล่าสุดออกมาพลิกและมอบชัยชนะให้ปธน.ไบเดน ไป
อย่างไรก็ตาม ในหลายรัฐที่พรรคเดโมแครตคุมเสียงข้างมากอยู่นั้น กลับมาการออกกฎหมายใหม่ๆ ที่ช่วยให้ประชาชนผู้มีสิทธิ์ได้ออกมาเลือกตั้งได้ง่ายขึ้น ซึ่งได้รับเสียงสนับสนุนจากที่ผู้หนุนพรรคเดโมแครตอย่างกว้างขวาง แม้สมาชิกพรรครีพับลิกัน ซึ่งรวมถึง อดีตปธน.ทรัมป์ กลับวิพากษ์วิจารณ์กฎหมายต่างๆ นี้ เป็นการเปิดโอกาสให้มีการทุจริตเลือกตั้งได้ง่ายขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ฝังหัวผู้สนับสนุนพรรครีพับลิกันจำนวนมากอยู่แล้วว่า ผลการเลือกตั้งในรัฐที่พรรคเดโมแครตเป็นผู้คุมนั้น เชื่อถือไม่ได้
เมื่อพิจารณาทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ เซ็ธ แมสเก็ต ผู้อำนวยการศูนย์ Center on American Politics ของมหาวิทยาลัยแห่งเดนเวอร์ บอกกับ วีโอเอ ว่า สหรัฐฯ ได้มาถึงจุดที่ทั้งสองฝ่ายที่เห็นต่างมีเหตุผลมากมายที่จะไม่เชื่อผลการเลือกตั้งในระดับชาติ ซึ่งถือเป็น “พื้นที่อันตราย พื้นที่ที่มีความอ่อนไหว สำหรับระบอบประชาธิปไตย” ทั้งยังจะทำให้ประเทศอื่นๆ และการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอื่นๆ ล่มสลายได้ด้วย
นอกจากเรื่องของการเมืองแล้ว เหตุการณ์ก่อจลาจลที่อาคารรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อที่แล้ว ยังส่งผลให้ตำรวจประจำรัฐสภา หรือ Capitol Police ซึ่งเป็นกองกำลังที่ได้รับมอบหมายให้ปกป้องรักษาสัญลักษณ์ของประชาธิปไตยสหรัฐฯ นี้เข้าสู่กระบวนการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ด้วย ตั้งแต่ การปลดเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่รับผิดชอบดูแลกองกำลังแห่งนี้ ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก เนื่องจากไม่สามารถรักษาอาคารที่ทำการของฝ่ายนิติบัญญัติของประเทศจากการโจมตีของกลุ่มผู้ก่อจลาจล ไปจนถึงการยกเครื่องใหม่ พร้อมงบประมาณเพิ่มขึ้นราว 15% รวมทั้งการปรับเปลี่ยนนโยบายการทำงานให้มีบทบาทประสานงานกับหน่วยงานอื่นๆ เพื่อดูแลภูมิภาคที่เกี่ยวข้อง
ชัค เว็กซ์เลอร์ (Chuck Wexler) ประธานกลุ่ม Police Executive Research Forum ซึ่งเป็นองค์กรที่มุ่งเน้นการส่งเสริมความเป็นมืออาชีพของเจ้าหน้าที่ตำรวจ กล่าวว่า กองกำลัง Capitol Police นั้น เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากในแง่ของระบบความคิดและการปฏิบัติหน้าที่ เมื่อเทียบสถานการณ์ปีนี้กับปีที่แล้ว โดยเจ้าหน้าที่หน่วยนี้ “จะมีความพร้อมอย่างล้นเหลือ และมีความเต็มใจที่จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า มีการเตรียมพร้อมมากเกินไปด้วย”
ยิ่งไปกว่านั้น หลังมีการแต่งตั้ง เจ โธมัส แมนเจอร์ อดีตผู้บังคับบัญชาตำรวจประจำเทศมณฑลแฟร์แฟ็กซ์เคาน์ตี้ รัฐเวอร์จิเนีย และเทศมณฑลมอนต์โกเมอรีเคาน์ตี้ รัฐแมรีแลนด์ ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการถาวรของ Capitol Police เมื่อเดือนกรกฎาคมของปีที่แล้ว แมนเจอร์ ประกาศความมุ่งมั่นที่จะทำการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ภายในหน่วยงาน ที่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัด 1,800 นายและลูกจ้างพลเรือนอีกเกือบ 400 คน ด้วยการสั่งซื้ออุปกรณ์ใหม่ๆ สำหรับเจ้าหน้าที่ ดำเนินการขยายโปรแกรมฝึกอบรมร่วมกับกองกำลังสำรองของรัฐและหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้ง การปรับปรุงวิธีการรวบรวม วิเคราะห์ และแจกจ่ายข้อมูลข่าวสืบราชการลับของทีมสืบสวน และจัดตั้งตำแหน่งงานที่เข้ามารับผิดชอบการวางแผนดำเนินงานสำหรับกิจกรรมสำคัญๆ เพื่อให้การประสานงานของทีมสืบราชการลับมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย
รัฐเวอร์จิเนีย และเทศมณฑลมอนต์โกเมอรี รัฐแมรีแลนด์ ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการถาวรของ Capitol Police เมื่อเดือนกรกฎาคมของปีที่แล้ว
และหลังเข้ารับตำแหน่งนี้ แมนเจอร์ ประกาศความมุ่งมั่นที่จะทำการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ภายในหน่วยงาน ที่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัด 1,800 นายและลูกจ้างพลเรือนอีกเกือบ 400 คน ด้วยการสั่งซื้ออุปกรณ์ใหม่ๆ สำหรับเจ้าหน้าที่ที่ต้องออกปฏิบัติหน้าที่รับมือกับสถานการณ์ในแถวหน้า และสำหรับเจ้าหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายดูแลเหตุก่อความไม่สงบต่างๆ พร้อมๆ กับขยายโปรแกรมฝึกอบรมร่วมกับกองกำลังสำรองของรัฐและหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งยัง ผลักดันให้มีเจ้าหน้าที่ของหน่วยมีจิตสำนึกช่วยสนับสนุนกันและกัน รวมทั้งการให้บริการดูแลสุขภาพจิตของเจ้าหน้าที่ด้วย
และในปีที่แล้ว กองกำลังตำรวจรัฐสภายังได้ปรับปรุงวิธีการรวบรวม วิเคราะห์ และแจกจ่ายข้อมูลข่าวสืบราชการลับของทีมสืบสวน และจัดตั้งตำแหน่งงานที่เข้ามารับผิดชอบการวางแผนดำเนินงานสำหรับกิจกรรมสำคัญๆ เพื่อให้การประสานงานของทีมสืบราชการลับมีประสิทธิภาพมากขึ้น
แต่แม้จะมีการยกเครื่องขนานใหญ่เกิดขึ้น ยังมีผู้ตั้งคำถามว่า อาคารรัฐสภาสหรัฐฯ นั้นมีระบบป้องกันภัยที่เพียงพอแล้วจริงหรือ ขณะที่ ประเด็นสำคัญสำหรับการปรับปรุงกองกำลังตำรวจรัฐสภาที่ยังรอการดำเนินการให้สำเร็จก็คือ การแก้ปัญหาขาดแคลนเจ้าหน้าที่ โดย แมนเจอร์ วางแผนที่จะจ้างเจ้าหน้าที่ตำรวจใหม่จำนวน 400 นาย ขณะที่ ทางหน่วยงานนี้ตั้งเป้าที่จะรับเจ้าหน้าที่ใหม่มาเข้าพิธีสาบานตนเพื่อปฏิบัติงานอีกราว 280 นายให้ได้ในปีนี้