เมื่อวันพฤหัสบดี หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของสหรัฐฯ ประกาศเริ่มสืบสวนเหตุการณ์บุกอาคารรัฐสภาของกลุ่มผู้สนับสนุนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อวันพุธ โดยมีเจ้าหน้าที่สืบสวนหลายร้อยคนเข้าร่วมระบุอัตลักษณ์และจับกุมผู้กระทำผิด
ไมเคิล เชอร์วิน รักษาการอัยการสหรัฐฯ ประจำกรุงวอชิงตัน ระบุว่า มีบุคคล 15 คนถูกจับกุมตามหมายศาลรัฐบาลกลาง เนื่องจากมีส่วนเกี่ยวข้องกับการจลาจล และมีบุกคนอีก 40 คนถูกจับตามหมายศาลของศาลสูงกรุงวอชิงตัน โดยส่วนใหญ่ถูกจับเนื่องจากเดินทางเข้าอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ โดยไม่ได้รับอนุญาต
ความผิดตามกฎหมายรัฐบาลกลางที่ถูกใช้ดำเนินคดีทั้งนี้ มีข้อหาลักทรัพย์สินของรัฐบาล และข้อหาละเมิดกฎหมายปืน ชายคนหนึ่งถูกจับกุมบริเวณใกล้อาคารรัฐสภาด้วยข้อหาพกพาอาวุธจู่โจมกึ่งอัตโนมัติและระเบิดขวด 11 ขวดที่เชอร์วินระบุว่า “พร้อมใช้งาน”
เหตุการณ์จลาจลครั้งนี้ทำให้มีผู้เสียชีวิตห้าคน และมีผู้ได้รับบาดเจ็บหลายสิบคน
เชอร์วินกล่าวว่า การจับกุมครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นของความพยายามนำตัวผู้กระทำผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ซึ่งอาจกินเวลาอีกหลายเดือน เนื่องจากตำรวจประจำอาคารรัฐสภาปล่อยให้ผู้บุกรุกหลายร้อยคนออกจากอาคารไปได้
เขายังระบุด้วยว่า เจ้าหน้าที่สืบสวนหลายร้อยคนกำลังรวบรวมข้อมูลจากกล้องวงจรปิดและคลิปวิดีโอที่เผยแพร่ทางสื่อสังคมออนไลน์เพื่อระบุอัตลักษณ์ของผู้กระทำผิด โดยจะเร่งสืบสวนและดำเนินคดีโดยเร็วที่สุด
เจฟฟรีย์ โรเซน รักษาการรัฐมนตรียุติธรรมสหรัฐฯ ระบุว่า กระทรวงยุติธรรมรับรองว่าผู้ที่มีส่วนรับผิดชอบต่อการ “โจมตีรัฐบาลและหลักนิติธรรม” จะต้องพบกับผลที่ตามมาอย่างเต็มรูปแบบภายใต้กฎหมาย
“อัยการฝ่ายคดีอาญาของเราทำงานตลอดทั้งคืนกับเจ้าหน้าที่พิเศษและเจ้าหน้าที่สืบสวนจากตำรวจประจำอาคารรัฐสภา สำนักงานสืบสวนกลางของสหรัฐฯ สำนักงานแอลกอฮอล์ ยาสูบ อาวุธปืน และอาวุธระเบิด สำนักงานตำรวจเมือง รวมถึงกับภาคสาธารณะ เพื่อรวบรวมหลักฐาน ระบุอัตลักษณ์ของผู้กระทำผิด และทำการจับกุมหลังออกหมายจับ” โรเซนระบุในแถลงการณ์เมื่อวันพฤกัสบดี
คริสโตเฟอร์ เวรย์ ผู้อำนวยการของสำนักงานสืบสวนกลางของสหรัฐฯ หรือ เอฟบีไอ ระบุว่า ทางเอฟบีไอใช้ “ทรัพยากรด้านการสืบสวนทั้งหมด” เพื่อจับกุมผู้กระทำผิด
ทั้งนี้ การโจมตีอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ ที่โรเซนระบุว่าเป็น “การโจมตีต่อสถาบันพื้นฐานของประชาธิปไตยอย่างรับไม่ได้” เริ่มขึ้นเมื่อผู้สนับสนุน ปธน. ทรัมป์หลายร้อยคนบุกเข้าอาคารรัฐสภา ขณะสมาชิกสภาคองเกรสเข้าร่วมการประชุมร่วมเพื่อรับรองชัยชนะการเลือกตั้งของว่าที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน
ผู้นำสหรัฐฯ กล่าวในคลิปวิดีโอที่เผยแพร่ทางทวิตเตอร์เมื่อคืนวันพฤหัสบดี โดยระบุถึง “การโจมตีอาคารรัฐสภาอันเลวร้าย” และเขารู้สึก “โกรธต่อความรุนแรง การกระทำผิดกฎหมาย และความโกลาหล”
ทั้งนี้ ปธน. ทรัมป์ถูกวิจารณ์อย่างมากจากการที่เขายั่วยุให้เกิดความรุนแรง โดยขอให้ผู้สนับสนุนที่โกรธแค้นต่อการแพ้เลือกตั้งของเขามุ่งหน้าไปยังอาคารรัฐสภา โดยในประเด็นนี้ วิลเลียม บาร์ อดีตตัฐมนตรียุติธรรมผู้เคยอยู่เคียงข้างทรัมป์อย่างเหนียวแน่นขณะเขายังดำรงตำแหน่ง ระบุกับสำนักข่าว The Associated Press ทางแถลงการณ์ว่า การกระทำของทรัมป์ “เป็นการทรยศสถานที่ทำงานของเขา และทรยศผู้สนับสนุนเขา”
ต่อคำถามว่า อัยการรัฐบาลกลางจะพิจารณาบทบาทของทรัมป์ในเหตุการณ์นี้หรือไม่ รักษาการอัยการสหรัฐฯ ประจำกรุงวอชิงตัน ระบุว่า ทางอัยการจะพิจารณาผู้มีส่วนเกี่ยวข่องทุกคน และหากใครมีบทบาทและหลักฐานที่เข้าข่ายการก่อาชญากรรม เขาคนนั้นก็จะถูกจับกุม
บทบาทของตำรวจ
เหตุจลาจลโจมตีอาคารรัฐสภาเมื่อวันพุธยุติลง เมื่อเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายกว่า 18 หน่วยงาน รวมถึงกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิเข้าประจำการในกรุงวอชิงตัน อย่างไรก็ตาม ยังคงมีคำถามว่า เหตุใดตำรวจที่ดูแลอาคารรัฐสภาจึงไม่สามารถห้ามผู้ประท้วงไม่ให้เข้าอาคารได้?
เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายระบุว่า แม้พวกเขาจะเตรียมการรับมือขบวนประท้วงขนาดใหญ่ แต่การบุกเข้าอาคารัฐสภาก็เกิดขึ้นขณะพวกเขาไม่ได้ตั้งตัว
สตีเวน ซุนด์ หัวหน้าตำรวจประจำอาคารรัฐสภา ระบุในแถลงการณ์เมื่อวันพฤหัสบดีว่า ทางตำรวจมีแผนรับมือต่อกิจกรรมที่ดำเนินตามบทแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ฉบับที่หนึ่ง ที่ว่าด้วยสิทธิเสรีภาพ แต่การจลาจลที่เกิดขึ้น ไม่ได้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ แต่เป็นพฤติกรรมจลาจลที่เป็นอาชญากรรม
ซุนด์ปกป้องตำรวจในหน่วยงานของเขา โดยระบุว่า “ผู้คนหลายพันคน” มีส่วนร่วมกับ “การก่อจลาจลรนุแรง” โดยโจมตีเจ้าหน้าที่ด้วยท่อนเหล็ก สารเคมีที่ทำให้ระคายเคือง และอาวุธอื่นๆ โดยมีตำรวจประจำอาคารรัฐสภาและตำรวจกรุงวอชิงตันกว่า 50 คนได้รับบาดเจ็บ และมีหลายนายที่ถูกส่งตัวไปรักษาในโรงพยาบาล
นอกจากนี้ ตำรวจประจำอาคารรัฐสภายังถูกตั้งคำถามว่า เหตุใดพวกเขาจึงไม่สามารถควบคุมตัวผู้กระทำผิดได้ ทั้งที่พวกเขาทุบหน้าต่างเข้ารื้อค้นอาคารสำนักงาน และขโมยเอกสารและสิ่งของของรัฐบาล
โฆษกกล่าวในเวลาต่อมาว่า ซุนด์ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง
ทางด้านเชอร์วินระบุว่า ความล้มเหลวของตำรวจประจำอาคารรัฐสภา ทำให้เจ้าหน้าที่สืบสวนของรัฐบาลกลางทำการติดตามและจับกุมผู้กระทำผิดได้ยากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ ผู้บุกรุกจำนวนมากทิ้งหลักฐานเป็นคลิปวิดีโอและรูปภาพในสื่อสังคมออนไลน์ โดยผู้สนับสนุนลัทธิคิวแอนอนคนหนึ่งมีภาพขณะอยู่ในห้องประชุมของวุฒิสภา ส่วนผู้สนับสนุน ปธน. ทรัมป์อีกคนหนึ่งมีภาพขณะที่เขาอยู่ในห้องทำงานของ แนนซี่ เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ
เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายระบุว่า พวกเขากำลังรวบรวมคลิปวิดีโอจากกล้องวงจรปิดและภาพในสื่อสังคมออนไลน์เพื่อระบุอัตลักษณ์ของผู้กระทำผิด โดยทางเอฟบีไอยังเรียกร้องประชาชนให้แบ่งปัน “เบาะแสและสื่อดิจิตัลที่เกี่ยวกับการจลาจลหรือความรุนแรง”
จอร์แดน เสตราส์ อดีตอัยการรัฐบาลกลางและผู้อำนวยการของบริษัทที่ปรึกษาจัดการความเสี่ยง Kroll ระบุว่า คลิปวิดีโอและภาพถ่ายเป็นหลักฐานชั้นดีที่อัยการจะใช้ตั้งข้อหาผู้กระทำผิดได้ โดยผู้บุกรุกจำนวนมากถ่ายทอดสดทางสื่อสังคมออนไลน์ขณะกำลังก่อเหตุ
ความเป็นไปได้ในการตั้งข้อหา
ผู้ก่อเหตุจลาจลอาจถูกตั้งข้อหาตามกฎหมายรัฐบาลกลางหลายข้อหา ตั้งแต่การทำลายทรัพย์สิน ไปจนถึงการข่มขู่สมาชิกสภาคองเกรส และการก่อกบฎ
ทั้งนี้ การก่อความไม่สงบเพื่อล้มล้างรัฐบาลคือการใช้กำลังต่อต้านอำนาจรัฐบาล โดยบาร์ อดีตรัฐมนตรียุติธรรม เคยเสนอตั้งข้อหานี้ต่อกลุ่มผู้ประท้วงต่อต้านตำรวจ ต่ออัยการรัฐบาลกลางเมื่อช่วงฤดูร้อนปีที่แล้ว
เสตราส์ระบุว่า อัยการอาจตั้งข้อหาที่ “สะอาดกว่า” ต่อผู้ก่อเหตุ โดยเป็นข้อหาที่ “ไม่เสี่ยงละเมิดบทแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ฉบับที่หนึ่ง หรือเปิดช่องให้มีการอ้างว่า นี่เป็นการดำเนินคดีทางการเมือง”
อย่างไรก็ตาม โจเอล เฮิร์สฮอร์น ทนายความด้านคดีอาญา ระบุว่า การตั้งข้อหาและจับกุมผู้ก่อเหตุจลาจลทุกคนนั้นไม่มีทางเป็นไปได้ แม้ผู้ที่บุกเข้าไปในอาคารรัฐสภาทุกคนจะเสี่ยงต่อการถูกดำเนินคดีข้อหาบุกรุกสถานที่ราชการก็ตาม