เอฟบีไอ เผย Hate Crime ในสหรัฐฯ พุ่ง 2.7% เมื่อปีที่แล้ว

FILE - A woman passes by a "No Place For Hate" sign in a shop in Pittsburgh's Squirrel Hill neighborhood, Feb. 11, 2019.

สำนักงานสืบสวนกลางของสหรัฐฯ หรือ FBI เปิดเผยว่า อัตราการเกิด Hate Crime หรือ อาชญากรรมที่เกิดจากความเกลียดชัง ในสหรัฐฯ ในปีที่ผ่านมาเพิ่มสูงขึ้น 2.7 เปอร์เซ็นต์ ถึงระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปีค.ศ. 2008 มา

ตามรายงานของ FBI ที่มีการเปิดเผยออกมาในวันจันทร์ตามเวลาในสหรัฐฯ เหตุอาชญากรรมที่ถูกจัดให้อยู่ในหมวด Hate Crime ในปี ค.ศ. 2019 เกิดขึ้น 7,314 ครั้ง เทียบกับสถิติ 7,120 ครั้งในปีก่อนหน้า

รายงานนี้ยังระบุด้วยว่า แม้อัตราการเกิดเหตุดังกล่าวจะลดลงเล็กน้อยในปี ค.ศ. 2018 แต่ภาพรวมกลับชี้ว่า อาชญากรรมประเภทนี้เพิ่มขึ้นอย่างมากในอัตราเกือบ 21 เปอร์เซ็นต์ ตลอดช่วง 3 ปีแรกของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของ โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งมีรายงานเหตุความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นจากเงื้อมมือของกลุ่มขวาจัดด้วย

และแม้รัฐบาลของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ จะออกมาประณามกลุ่ม 'คนผิวขาวขวาจัด' ไปแล้ว ผู้สังเกตการณ์เปิดเผยว่า อัตราการเกิดเหตุอาชญากรรมต่อกลุ่มที่ถูกปธน.ทรัมป์ กล่าวโจมตีกลับเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา

ทั้งนี้ FBI ให้คำจำกัดความของ Hate Crime ว่าเป็นอาชญากรรมที่เกิดขึ้นจากประเด็น เชื้อชาติ ชาติพันธุ์ ชาติตระกูล ศาสนา รสนิยมทางเพศ ความพิการ เพศ และเพศสภาพ

และแม้เหตุอาชญากรรมดังกล่าวส่วนใหญ่มักเป็นกรณีที่ปราศจากความรุนแรง รายงานล่าสุดนี้สรุปว่า มีการเพิ่มขึ้นของเหตุการใช้ความรุนแรง เช่น การทำร้าย และการฆาตรกรรม ด้วย โดยมีเหตุฆาตกรรมจากประเด็นความเกลียดชังเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าจากปี ค.ศ. 2018 มาเป็น 51 ครั้ง โดยส่วนใหญ่เป็นฝีมือของกลุ่มคนผิวขาวขวาจัด ขณะที่เหตุการทำร้ายร่างกายเพราะประเด็นความเกลียดชังเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นปีที่ 6 ถึงระดับสูงสุดในรอบ 19 ปีที่ 866 ครั้ง

รายงานชิ้นนี้จะสรุปด้วยว่า สาเหตุส่วนใหญ่ของ Hate Crime ที่เกิดขึ้นในปีที่แล้วคือ ประเด็น เชื้อชาติ ชาติพันธุ์ และศาสนา