ประเมินแผนโกงเลือกตั้งผ่านวิธี  'จงใจโหวตซ้ำ' ในศึกชิงเก้าอี้ปธน.สหรัฐฯ 

FILE - A Miami-Dade County Elections Department employee places a vote-by-mail ballot for the August 18 primary election into a box for rejected ballots at the Miami-Dade County Elections Department, in Doral, Florida, July 30, 2020.

Your browser doesn’t support HTML5

US Vote Fraud


ชาวอเมริกันผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งในปีนี้สนใจที่จะเลือกประธานาธิบดีด้วยการส่งบัตรเลือกตั้งทางไปรษณีย์กันมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของโคโรนาไวรัส ที่อาจเกิดขึ้นหากเดินทางไปลงคะเเนนด้วยตนเอง

สถานการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดคำถามว่าวิธีการดังกล่าวอาจเป็นช่องทางให้ผู้ที่ต้องการโกงการเลือกตั้ง กระทำผิดด้วยการ 'จงใจโหวตซ้ำ' ทั้งทางไปรษณีย์และไปลงคะเเนนที่คูหา

ในสัปดาห์นี้ เจ้าหน้าที่คณะกรรมการการเลือกตั้งรัฐจอร์เจีย กล่าวว่า เมื่อการเลือกตั้งขั้นต้นในเดือนมิถุนายน พบบัตรเลือกตั้งราว 1,000 ใบ เป็นของผู้ที่ใช้สิทธิ์สองครั้ง

บัตรเหล่านี้ถูกคัดออกและไม่ได้เปลี่ยนผลการเลือกตั้ง อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ของรัฐต้องการให้มีการตรวจสอบ เพื่อดำเนินคดี หากว่าเป็นการทำผิดกฎหมาย

ในหลายรัฐ ซึ่งรวมถึงจอร์เจียการใช้สิทธิ์ซ้ำสองครั้ง เป็นการกระทำผิดกฎหมายที่มีโทษสถานหนัก

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวหลายครั้งว่า การใช้สิทธิ์ทางไปรษณีย์ เปิดช่องให้มีการโกงการเลือกตั้ง ที่น่าจะให้ผลดีต่อคู่แข่งของเขา ซึ่งก็คือนายโจ ไบเดน แห่งพรรรคเดโมเเครตที่ กำลังการเสียงในการเลือกตั้งประธานาธิบดีเช่นกัน

ขณะนี้มลรัฐ 5 แห่งในอเมริกาได้ใช้กระบวนการรองรับการลงคะเเนนทางไปรษณีย์ไปแล้ว และพบว่าเกิดการโหวตซ้ำ หรือสวมรอยลงคะเเนนแทนผู้อื่นในจำนวนน้อยเท่านั้น 5 รัฐดังกล่าวคือ โคโลราโด ฮาวาย โอเรกอน ยูทาห์ และวอชิงตัน

President Donald Trump speaks during a campaign rally at Arnold Palmer Regional Airport, Thursday, Sept. 3, 2020, in Latrobe, Pa. (AP Photo/Evan Vucci)

ทรัมป์ ยังได้เรียกร้องให้ผู้สนับสนุนเขาลองพยายามโหวตซ้ำ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ของการโกงการเลือกตั้งด้วยวิธีนี้

กลุ่มผู้รณรงค์เรื่องสิทธิ์การเลือกตั้งกล่าวว่า ตามสถิติที่มีมา การโกงเลือกตั้งในสหรัฐฯเกิดขึ้นน้อยมาก และว่าความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในการเลือกตั้งขั้นต้นที่รัฐจอร์เจีย ทำให้มีความสับสนที่น่าจะทำให้เจ้าหน้าที่นับคะเเนนผิดโดยการนับการใช้สิทธิ์ของประชาชนบางรายว่าเป็นการลงคะเเนนซ้ำ

ทั้งนี้ลักษณะของการโกงการเลือกตั้งมีหลายรูปแบบ โดยองค์กรอนุรักษ์นิยม Heritage Foundation จำเเนกการโกงการเลือกตั้งไว้ 9 ประเภท และที่เกิดขึ้นบ่อยที่สุดคือการโหวตโดยผู้ไม่มีคุณสมบัติเป็นผู้ใช้สิทธิ์ เช่น คนที่ไม่ได้ถือสัญชาติอเมริกัน และผู้ที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดในคดีอุกฉกรรจ์

นอกจากนั้นยังมีการโกงการเลือกตั้งด้วยการใช้สิทธิ์ทางไปรษณีย์โดยการสวมรอยเป็นผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งตัวจริง การใช้เงินซื้อเสียง การใช้สิทธิ์ซ้ำ และการลงทะเบียนที่เป็นเท็จ เป็นต้น

ต่อคำถามที่ว่าการโกงการเลือกตั้งในอเมริกาเกิดขึ้นแพร่หลายมากเท่าใด ฐานข้อมูลของ Heritage Foundation ชี้ว่ามีการโกงการเลือกตั้งที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเกิดขึ้นจริง 1,296 กรณี จากการใช้สิทธิ์หลายร้อยล้านครั้งของประชาชนสหรัฐฯตั้งแต่ปี ค.ศ. 1992

ในจำนวนการโกงการเลือกตั้งดังกล่าว มีการถูกตัดสินว่ากระทำผิดทางอาญา 1,120 กรณี

เหตุการณ์เหล่านี้รวมถึง เมื่อสองปีก่อนที่มีการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาสหรัฐฯ ที่คนของรีพับลิกันคนหนึ่งและบุคคลอื่นๆอีกในรัฐนอร์ธแคโรไลนา ถูกกล่าวหาว่าโกงบัตรลงคะเเนน แต่สถิติดังกล่าวไม่รวมถึงการที่มีชาวต่างชาติ 19 คน ถูกกล่าวหาว่าใช้สิทธิ์เลือกตั้งในสหรัฐฯ เมื่อ 4 ปี ก่อน

เมื่อการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งที่แล้ว โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งเนื่องจากมีคะเเนนเสียงจาก ‘คณะผู้เลือกตั้ง’ หรือ electoral college ซึ่งเป็นตัวแทนจากรัฐต่างๆ มากกว่า แม้ได้คะเเนนจากประชาชน หรือ popular vote น้อยกว่านางฮิลลารี คลินตัน คู่แข่ง

Republican presidential nominee Donald Trump listens as Democratic presidential nominee Hillary Clinton speaks during their third and final 2016 presidential campaign debate at UNLV in Las Vegas, Oct. 19, 2016.

โดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวว่าในการเลือกตั้งครั้งนั้นมีการใช้สิทธิ์อย่างผิดกฎหมายที่สนับสนุนนางคลินตัน ถึง 5 ล้านใบ อย่างไรก็ตามคณะกรรมการตรวจสอบที่เขาเป็นผู้แต่งตั้งมิได้เปิดเผยถึงหลักฐานที่สนับสนุนว่าเกิดการโกงการเลือกตั้งครั้งใหญ่ และการศึกษาหลายชิ้นของผู้เชี่ยวชาญอิสระและสื่อ ไม่พบหลักฐานว่ามีการโกงการเลือกตั้งอย่างแพร่หลาย

เมื่อปีที่แล้วเจ้าหน้าที่ในรัฐเท็กซัสสงสัยว่า มีชื่อของบุคคลเกือบ 100,000 ราย ที่เป็นไปได้ว่าอาจเป็นผู้ที่ไม่ได้ถือสัญชาติอเมริกัน อยู่ในทะเบียนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง และในจำนวนนี้อาจมีคน 58,000 ราย ที่อาจใช้สิทธิ์เลือกตั้งไปแล้วในช่วง 22 ปีที่ผ่านมา แต่ทางรัฐยุติความพยายามตรวจสอบกรณีต้องสงสัยเหล่านี้เพราะเกิดการโต้แย้งทางกฎหมายขึ้น