Your browser doesn’t support HTML5
บริษัทธุรกิจขนาดใหญ่ของจีนที่ต้องการระดมเงินทุนจากต่างประเทศโดยเฉพาะด้วยการนำหุ้นออกขายในตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ กำลังประสบปัญหาน่าลำบากใจจากการตรวจสอบอย่างใกล้ชิดมากขึ้นโดยรัฐบาลจีน ขณะที่จะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์เรื่องการสอบบัญชีและการเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใสของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ด้วย
เฉพาะในช่วงหกเดือนแรกของปีนี้มีบริษัทของจีน 34 บริษัทที่นำหุ้นเข้าจดทะเบียนเพื่อซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ ซึ่งก็ช่วยให้สามารถระดมทุนได้ถึงราว 12,400 ล้านดอลลาร์ และสร้างรายได้ให้กับบริษัทการเงินย่านวอลสตรีทได้หลายร้อยล้านดอลลาร์เช่นกัน ทั้งยังมีอีกราว 20 บริษัทซึ่งวางแผนจะนำหุ้นออกขายต่อสาธารณะชนเป็นครั้งแรกหรือ IPO ในช่วงหลังของปีนี้ด้วย
ตามข้อมูลของคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจและหลักทรัพย์สหรัฐฯ - จีน ณ วันที่ 5 พฤษภาคมปีนี้ มีบริษัทของจีนรวม 248 บริษัทที่นำหุ้นออกขายในตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยมีมูลค่าตลาดรวมกันถึงกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์
แต่กฎเกณฑ์ใหม่ทั้งในสหรัฐฯ กับจีนจะเป็นผลให้การระดมทุนของบริษัทจีนในตลาดต่างประเทศเป็นไปได้ยากขึ้น เพราะรัฐบาลกรุงปักกิ่งได้ส่งสัญญาณว่าจะมีการตรวจสอบบริษัทของจีนที่ต้องการนำหุ้นออกซื้อขายในตลาดต่างประเทศอย่างเข้มงวดมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการรวบรวมข้อมูลจากผู้บริโภคและผู้ใช้บริการชาวจีน
โดยทางการจีนได้พยายามชี้ว่า ตลาดหุ้นของจีนเองก็เป็นทางเลือกที่ดีเพื่อการระดมทุนเช่นกัน เช่นเมื่อกลางเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา หน่วยงานกำกับดูแลด้านหลักทรัพย์ของจีนได้อนุมัติแผนของบริษัท China Telecom ซึ่งถูกรัฐบาลสหรัฐฯ สมัยประธานาธิบดีทรัมป์ถอดหุ้นออกจากตลาดสหรัฐฯ ให้สามารถนำหุ้นมูลค่า 8,400 ล้านดอลลาร์ออกขายในตลาดหลักทรัพย์นครเซี่ยงไฮ้ได้ และนับเป็นการขายหุ้นใหม่ซึ่งมีมูลค่าสูงที่สุดของจีนในรอบกว่า 10 ปีด้วย
ขณะเดียวกัน รัฐบาลของประธานาธิบดีไบเดนก็เพิ่มแรงกดดันที่จะบังคับใช้กฎหมายซึ่งกำหนดให้บริษัทต่างชาติที่นำหุ้นออกขายในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์เรื่องการสอบบัญชีและเปิดเผยข้อมูลทางการเงินต่อเจ้าหน้าที่ตรวจสอบของสหรัฐฯ อย่างน้อยทุก ๆ สามปี ซึ่งก็เป็นเรื่องที่รัฐบาลจีนไม่ต้องการให้บริษัทของตนปฏิบัติตาม
นักวิเคราะห์ชี้ว่า บริษัทขนาดใหญ่ของจีนตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกจากข้อกำหนดเรื่องความโปร่งใสทางการเงินของตลาดหุ้นในประเทศตะวันตก กับข้อกำหนดของรัฐบาลจีนที่ต้องการปกป้องข้อมูลซึ่งละเอียดอ่อน
เพราะโดยปกติแล้ว บริษัทขนาดใหญ่ของจีนมีความเกี่ยวพันอย่างใกล้ชิดอยู่กับรัฐบาลและกองทัพทำให้ข้อกำหนดเรื่องการเปิดเผยข้อมูลของบริษัทเหล่านี้เป็นสิ่งที่รัฐบาลจีนไม่ต้องการ ส่วนบริษัทมหาชนในสหรัฐฯ นั้นมักดำเนินงานโดยแยกขาดจากรัฐบาลทำให้การเปิดเผยข้อมูลใด ๆ ไม่มีผลในแง่ความมั่นคง
ผู้ที่อยู่ในวงการธุรกิจระหว่างประเทศ อย่างเช่น คุณ Doug Barry โฆษกของสภาธุรกิจสหรัฐฯ - จีน ชี้ว่า คงจะมีความเปลี่ยนแปลงในเรื่องความสัมพันธ์ทางธุรกิจระหว่างสหรัฐฯ กับจีน และว่าขณะที่ธุรกิจอเมริกันในจีนยังคงมีผลประกอบการที่ดีอยู่นั้นก็เริ่มมีความกังวลเกี่ยวกับอนาคตเรื่องความสัมพันธ์และการลงทุนก็อาจลดลงได้นอกจากภาพเรื่องนี้จะชัดเจนขึ้น
และนักวิเคราะห์บางคนก็ให้ความเห็นว่า การคลี่คลายความขัดแย้งเรื่องนี้จะเป็นเครื่องกำหนดว่าธุรกิจของจีนจะยังสามารถเข้าถึงตลาดระดมทุนซึ่งมีสภาพคล่องมากที่สุดในโลกคือตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้ต่อไปหรือไม่ ในเวลาที่ธุรกิจของจีนกำลังมีบทบาทมากขึ้นในเวทีเศรษฐกิจโลก
(ที่มา: VOA)