ยูเครนเรียกร้องให้ประเทศผู้สนับสนุนตนช่วยย้ำกับรัสเซีย “ความพยายามจะผนวกดินแดน ทำการแบล็กเมล์ และการยื่นคำขาด” มีแต่จะทำให้ทั่วโลกหันมาเข้าข้างยูเครนมากขึ้น ขณะที่ สงครามที่เริ่มจากการรุกรานของกองทัพมอสโกเดินหน้าเข้าสู่เดือนที่ 8 อยู่นี้
กระทรวงการต่างประเทศยูเครนออกแถลงการณ์ในวันพุธที่ระบุว่า “ยูเครนร้องขอให้อียู นาโต้และกลุ่มประเทศจี-7 เร่งยกระดับแรงกดดันต่อรัสเซียอย่างมีนัยสำคัญในทันที ด้วยการดำเนินมาตรการลงโทษขั้นหนักชุดใหม่ และเพิ่มการสนับสนุนทางทหารสำหรับยูเครนให้มากขึ้น ทั้งในรูปแบบของรถถัง เครื่องบินรบ พาหนะหุ้มเกราะ ปืนใหญ่พิสัยไกล อุปกรณ์ต่อต้านอากาศยาน และอุปกรณ์ต่อต้านขีปนาวุธ”
เสียงเรียกร้องของยูเครนครั้งนี้มีออกมาขณะที่ คณะผู้บริหารเขตปกครองลูฮันสก์และเคอร์ซอนที่เครมลินแต่งตั้งขึ้นมาร้องขอให้ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ทำการผนวกพื้นที่ของตนเข้ากับรัสเซีย ตามที่สิ่งที่คนกลุ่มนี้อ้างว่า เป็นสิ่งที่ประชาชนต้องการ
SEE ALSO: มอสโกอ้าง ชาวยูเครนในพื้นที่ยึดครอง ‘สนับสนุนการผนวกเข้ากับรัสเซีย’
เจ้าหน้าที่รัฐที่รัสเซียแต่งตั้งขึ้นมาอ้างว่า 93% ของคะแนนเสียงในการทำประชามติเป็นระยะเวลา 5 วันในเขตปกครองซาปอริห์เชียซึ่งกองทัพรัสเซียยึดครองอยู่ สนับสนุนแผนการผนวกอาณาเขตเช่นเดียวกับประชาชน 87% ในเคอร์ซอน และ 98% ในลูฮันสก์ รวมทั้ง 99% ในดอแนตสก์ โดยพื้นที่ทั้งหมดนี้คิดเป็น 15% ของพื้นที่รวมของยูเครน
ทั้งนี้ ยูเครน สหรัฐฯ และชาติตะวันตกอื่น ๆ ประณามการทำประชามติที่รัสเซียสั่งดำเนินการว่า เป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย ขณะที่ การยอมรับผลการลงคะแนนเสียงนี้ไม่น่าจะได้รับการยอมรับจากประชาคมโลก
ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี แจ้งต่อคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ (UNSC) ในวันอังคารว่า รัสเซียต้องถูกโดดเดี่ยวจากนานาชาติเพราะการดำเนินการทำประชามติในยูเครน
ปธน.เซเลนสกี ระบุในคลิปวิดีโอที่ส่งมายังที่ประชุม UNSC ว่า “มีเพียงวิธีเดียวที่จะยุติเรื่องทั้งหมดนี้” และว่า “สิ่งแรกก็คือ การโดดเดี่ยวรัสเซียอย่างเบ็ดเสร็จ เพื่อตอบโต้ต่อทุกอย่างที่เกิดขึ้น”
ผู้นำยูเครนยังกล่าวด้วยว่า ควรมีการดำเนินมาตรการลงโทษต่อมอสโกเพิ่มเติม และควรทำให้รัสเซียหมดสิทธิ์วีโต้ใน UNSC รวมทั้งการที่สถาบันระหว่างประเทศต่าง ๆ ควรระงับการทำงานร่วมกับรัสเซียด้วย
ปธน.เซเลนสกี กล่าวว่า “การผนวกควบรวมอาณาเขต(ของยูเครน)ที่ถูกรัสเซียยึดครองอยู่ ... คือการละเมิดกฎบัตรยูเอ็นอย่างหนัก” และว่า “นี่คือความพยายามที่จะขโมยอาณาเขตของรัฐอื่น ๆ นี่คือความพยายามที่จะลบบรรทัดฐานของกฎหมายระหว่างประเทศออกไป”
ท้ายสุด ปธน.ยูเครน ยืนยันว่า หากมอสโกทำการผนวกอาณาเขตทั้งหมดที่ตนยึดครองอยู่ “ก็จะหมายความว่า ไม่มีอะไรเหลือที่จะต้องคุยกับประธานาธิบดีรัสเซียอีกต่อไป”
ขณะเดียวกัน สหรัฐฯ และแอลเบเนีย ได้เริ่มส่งต่อร่างมติให้กับสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ ซึ่งมีเนื้อหาประณามการทำประชามติที่เกิดขึ้น และเรียกร้องให้นานาประเทศไม่ยอมรับสถานภาพของยูเครนที่อาจจะเปลี่ยนไป รวมทั้งบังคับให้รัสเซียถอนทหารออกจากยูเครนเสียด้วย
- ข้อมูลบางส่วนมาจาก เอพี เอเอฟพีและรอยเตอร์