กลาโหมอังกฤษเผย มีผู้เสียชีวิต 7 รายจากเหตุจลาจลที่สนามบินกรุงคาบูลวันเสาร์

People try to get into Hamid Karzai International Airport in Kabul, Afghanistan, Aug. 16, 2021.

กระทรวงกลาโหมอังกฤษเปิดเผยเมื่อวันอาทิตย์ว่า มีผู้เสียชีวิต 7 รายจากเหตุจลาจลใกล้กับสนามบินในกรุงคาบูลเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา หลังจากที่ประชาชนหลายพันคนพยายามบุกเข้าไปในสนามบินเพื่อหนีออกนอกประเทศอัฟกานิสถานซึ่งตกอยู่ภายใต้การครอบครองของกลุ่มตาลิบันตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม

แถลงการณ์ของกระทรวงกลาโหมอังกฤษระบุว่า สถานการณ์ที่สนามบินในกรุงคาบูลยังคงเป็นความท้าทายอย่างที่สุด แต่อังกฤษกำลังทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อรักษาความปลอดภัยและความมั่นคงให้ดีที่สุด

สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ยังไม่ชัดเจนว่าผู้ที่เสียชีวิตที่สนามบินเมื่อวันเสาร์นั้น เสียชีวิตจากการถูกทำร้าย จากอาการหัวใจวายท่ามกลางฝูงชนแออัด หรือเพราะอากาศร้อนในระดับ 34 องศาเซลเซียส

ด้านสำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ประชาชนหลายพันคนต่างแออัดยัดเยียดบริเวณด้านนอกสนามบินกรุงคาบูลเมื่อวันเสาร์ และประชาชนที่อยู่ด้านหน้าสุดต่างถูกดันจนติดสิ่งกีดขวาง

SEE ALSO: ไบเดน/อเมริกาจะฟันฝ่าปัญหาวิกฤติภาพลักษณ์เรื่องอัฟกานิสถานได้อย่างไร

ขณะเดียวกัน สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำกรุงคาบูล มีคำเตือนไปยังพลเมืองอเมริกันในอัฟกานิสถานว่าให้หลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังสนามบินกรุงคาบูลในวันเสาร์ที่ผ่านมา นอกจากว่าได้รับคำแนะนำโดยตรงจากเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลสหรัฐฯ ให้ไปที่นั่น

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ในวันเสาร์ เครื่องบินของกองทัพอเมริกันหนึ่งลำได้นำชาวอัฟกัน 110 ครอบครัวเดินทางออกจากอัฟกานิสถานไปยังค่ายทหารแห่งหนึ่งชานกรุงมาดริด สเปน ในจำนวนนี้รวมถึงชาวอัฟกัน 36 คนที่ทำงานให้กับทางการสหรัฐฯ ในอัฟกานิสถาน

SEE ALSO: ชาติตะวันตกหวั่น เมื่อ 'ตาลิบัน' มอบหมายเครือข่ายฮัคคานีดูแลความปลอดภัยกรุงคาบูล

และในวันอาทิตย์ รัฐบาลสเปนประกาศว่าจะรับผู้ลี้ภัยชาวอัฟกันที่เคยทำงานกับรัฐบาลอเมริกันในอัฟกานิสถาน โดยจะถูกนำไปอาศัยอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยสองแห่งในสเปนก่อนที่จะถูกส่งตัวไปยังประเทศอื่นในสหภาพยุโรปต่อไป

ทางด้านผู้นำระดับสูงของกลุ่มตาลิบันได้จัดการประชุมเมื่อวันเสาร์ในกรุงคาบูล เพื่อหารือเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลอิสลามชุดใหม่ที่มีความเปิดกว้างสำหรับกลุ่มต่าง ๆ และคาดว่าจะมีการเปิดเผยโครงสร้างของรัฐบาลชุดใหม่เร็ว ๆ นี้

(ข้อมูลบางส่วนมาจากสำนักข่าวเอพี เอเอฟพี และรอยเตอร์)