นายกรัฐมนตรี บอริส จอห์นสัน ประกาศดำเนินมาตรการใหม่เพื่อควบคุมการระบาดของโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ หลังสถานการณ์ในอังกฤษย่ำแย่ลงจนถึงจุดที่ทางการยอมรับว่าเป็น “จุดเปลี่ยนอันเป็นวิกฤต” แล้ว
นายกรัฐมนตรี จอห์นสัน ประกาศต่อหน้าที่ประชุมรัฐสภาในวันอังคารตามเวลาท้องถิ่น ว่า อัตราการเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นถึงสองเท่าในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา และเชื่อกันว่า ตัวเลขนี้จะพุ่งขึ้นหากไม่มีการลงมืออะไรเพิ่มเติม
ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลอังกฤษจึงตัดสินใจดำเนินมาตาการใหม่ ซึ่งรวมถึง การปิดบาร์ ผับ และภัตตาคารร้านอาหาร ตั้งแต่เวลา 22 นาฬิกา รวมทั้ง การบังคับให้พนักงานร้านค้าปลีกและผู้ให้บริการขับรถแท็กซี่ รวมทั้งผู้โดยสารของรถสาธารณะทุกประเภทต้องสวมหน้ากากตลอดเวลา
นอกจากนั้น ในกรณีของการจัดงานแต่งงาน รัฐบาลจะกำหนดจำนวนผู้เข้าร่วมงานไว้ไม่เกิน 15 คน แต่ถ้าเป็นกรณีงานศพ จำนวนดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นเป็น 30 คน
ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรี จอห์นสัน ยังเรียกร้องให้ประชาชนพยายามทำงานจากที่บ้านแทน ซึ่งเป็นการกลับลำจากคำประกาศเมื่อสองสัปดาห์ก่อน ที่ผู้นำอังกฤษขอให้พนักงานกลับไปทำงานตามปกติ
ในส่วนของแผนการอนุญาตให้มีการจัดงานประชุมหรือให้ประชาชนเข้าร่วมชมการแข่งขันกีฬาต่างๆ ที่เดิมวางไว้ว่าจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมเป็นต้นไป รัฐบาลอังกฤษขอพักเรื่องนี้ไว้ก่อนเช่นกัน
อย่างไรก็ดี ผู้นำรัฐบาลอังกฤษยืนยันว่า การดำเนินมาตรการต่างๆ ในครั้งนี้ ไม่ได้เป็นการส่งสัญญาณว่าจะมีการล็อคดาวน์ ดังเช่นที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนมีนาคม ดังนั้น ประชาชนไม่ต้องกักตัวอยู่แต่ในบ้านตลอดเวลา และสถาบันการศึกษายังสามารถทำการเรียนการสอนได้ตามปกติ
แต่หากมาตรการรอบใหม่นี้ไม่ทำให้อัตราการติดเชื้อในประเทศลดลงอย่างชัดเจน รัฐบาลอังกฤษกล่าวว่า อาจต้องใช้สิทธิ์ดำเนินแผนงานที่รัดกุมและเข้มข้นมากขึ้นในอนาคต
ข้อมูลจาก มหาวิทยาลัย จอนส์ ฮอพกินส์ ณ บ่ายวันจันทร์ตามเวลาในสหรัฐฯ แสดงให้เห็นว่า มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในอังกฤษแล้วกว่า 406,000 ราย ขณะที่ตัวเลขผู้เสียชีวิตนั้นอยู่ที่กว่า 41,900 รายแล้ว