'ประธานาธิบดีทรัมป์' แสดงความหวังมาตรการทางการทูตกับเกาหลีเหนือจะได้ผล

U.S. President Donald Trump and First Lady Melania talk during a state dinner hosted by South Korea's President Moon Jae-in (R) in his honor at the Blue House in Seoul, South Korea November 7, 2017. REUTERS/Jonathan Ernst TPX IMAGES OF THE DAY - RC1DE2208340

คำกล่าวเพื่อช่วยสร้างความมั่นใจในเกาหลีใต้นี้ขัดกับ Tweet ก่อนหน้าที่เคยตำหนิการทูตว่าเสียเวลาเปล่า

Your browser doesn’t support HTML5

Trump Korea

ในคำกล่าวระหว่างงานเลี้ยงอาหารค่ำซึ่งเกาหลีใต้เป็นเจ้าภาพต้อนรับ ดูเหมือนว่าประธานาธิบดีทรัมป์จะละเว้นการใช้โวหารรุนแรงที่เคยตำหนิเกาหลีเหนือ และพยายามสร้างความมั่นใจรวมทั้งให้ความหวังในแง่ดีกับเกาหลีใต้

โดยผู้นำสหรัฐฯ กล่าวว่าได้มีความคืบหน้าทางการทูตเพื่อขจัดปัดเป่าความตึงเครียดที่กำลังก่อตัวขึ้นในภูมิภาคนี้

ประธานาธิบดีทรัมป์ กล่าวระหว่างงานเลี้ยงอาหารค่ำที่กรุงโซลซึ่งประธานาธิบดีเกาหลีใต้เป็นเจ้าภาพว่า ขอให้เสรีภาพและสันติภาพงอกงามขึ้นบนคาบสมุทรเกาหลี และว่าการทำงานร่วมกันระหว่างสหรัฐฯ กับเกาหลีใต้ จะช่วยย้ำเตือนต่อโลกถึงศักยภาพอันไม่มีขอบเขตจำกัด จากการเลือกเสรีภาพเหนือระบอบเผด็จการ

ผู้นำสหรัฐฯ กล่าวในตอนหนึ่งว่า ตนคิดว่าเป็นเรื่องสมเหตุสมผลถ้าเกาหลีเหนือจะยอมเข้าสู่โต๊ะเจรจาเพื่อทำความตกลง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งประชาชนของเกาหลีเหนือเองและต่อชาวโลกด้วย

ผู้นำสหรัฐฯ แสดงความเชื่อมั่นด้วยว่า ตนได้เห็นความคืบหน้าบางอย่าง และควรจะต้องรอดูต่อไปว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นต่อจากนี้

อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีทรัมป์เสริมว่า สหรัฐฯ พร้อมที่จะปกป้องตนเองและประเทศพันธมิตร ด้วยการใช้ขีดความสามารถทางทหารอย่างเต็มที่ถ้าจำเป็น

ท่าทีของผู้นำสหรัฐฯ ที่เกาหลีใต้เมื่อวันอังคารนี้ ดูจะตรงกันข้ามกับการทวีตข้อความในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งผู้นำสหรัฐฯ แสดงความเห็นว่า การเจรจากับรัฐบาลกรุงเปียงยางเพื่อแก้ปัญหานิวเคลียร์นั้นเป็นเรื่องที่เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์

ในส่วนของประธานาธิบดี มูน แจ อิน ยอมรับว่าสันติภาพของเกาหลีใต้กำลังถูกคุกคาม แต่ก็เสริมว่าการเป็นพันธมิตรอย่างยาวนานกับสหรัฐฯ นั้นทำให้เกิดพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่อย่างท่วมท้น ซึ่งจะเป็นผลให้เกาหลีเหนือต้องยุติการยั่วยุ และทำให้รัฐบาลกรุงเปียงยางต้องยอมเจรจาเพื่อลดอาวุธนิวเคลียร์

และระหว่างการแถลงข่าวร่วมกัน ผู้นำของสหรัฐฯ กับเกาหลีใต้กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ถ้าประเทศใดจะช่วยสนับสนุนด้านการเงินและอาวุธให้กับระบอบการปกครองของนายคิม จองอึน โดยประธานาธิบดีทรัมป์ได้เสริมว่า โครงการจรวดขีปนาวุธและโครงการอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือนั้น เป็นภัยคุกคามต่อทั้งโลก ซึ่งต้องได้รับความร่วมมือจากทั่วโลกเพื่อแก้ไขเช่นกัน

ทางด้านนาย Grant Newsham นักวิจัยอาวุโสของสถาบันศึกษายุทธศาสตร์ Japan Forum for Strategic Studies ให้ความเห็นว่า ดูจะมีโอกาสความหวังอยู่น้อยมาก เมื่อพิจารณาจากโวหารที่แข็งกร้าวของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งขู่เรื่องการใช้กำลัง กับท่าทีของประธานาธิบดี มูน แจ อิน ของเกาหลีใต้ ซึ่งยืนยันเรื่องการใช้มาตรการทางการทูต ประกอบกับมาตรการลงโทษเพื่อกดดันต่อเกาหลีเหนือ

นักวิจัยผู้นี้ชี้ว่า ปัญหาที่แท้จริงก็คือ เมื่อสหรัฐฯ พร้อมจะสร้างความสัมพันธ์สามฝ่ายระหว่างสหรัฐ ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ โดยมุ่งเน้นเรื่องการทหารนั้น ก็เชื่อได้ว่าประธานาธิบดี มูน แจ อิน ของเกาหลีใต้ คงไม่เต็มใจที่จะปล่อยให้มีการดำเนินการในด้านนี้อย่างแน่นอน