หนังสือเล่มใหม่ที่เขียนโดยนักข่าวการเมือง บ็อบ วู้ดวาร์ด แห่งหนังสือพิมพ์ วอชิงตันโพสต์ ได้รวบรวมจดหมายจำนวน 25 ฉบับที่ประธานาธิบดีทรัมป์และผู้นำคิมส่งหากันและกัน และเปิดเผยเรื่องราวความสัมพันธ์ของผู้นำทั้งคู่ว่าใกล้ชิดแนบแน่นแค่ไหน
หนังสือที่มีชื่อว่า Rage จะวางตลาดในสัปดาห์หน้า แต่สื่อมวลชนหลายแห่งในสหรัฐฯ ได้ตีพิมพืบางส่วนของจดหมายนี้ รวมถึงเนื้อหาในจดหมายส่วนตัวที่ผู้นำสหรัฐฯ และผู้นำเกาหลีเหนือส่งหากันในช่วงสองปีที่ผ่านมา
ในจดหมายหลายฉบับ ผู้นำคิมโปรยคำหวานและคำเยินยอให้แก่ประธานาธิบดีทรัมป์ เช่น การเรียกผู้นำสหรัฐฯ อย่างยกย่องว่า “Your Excellency” พร้อมทั้งสรรเสริญ "ความสัมพันธ์ฉันท์มิตรที่ลึกซึ้งและพิเศษ" แม้แต่ในช่วงที่การเจรจานิวเคลียร์ระหว่างสองประเทศล้มเหลว
หนึ่งในเนื้อความในจดหมายจากผู้นำคิมที่ส่งถึงทรัมป์ ซึ่งสื่อ CNN นำมาเผยแพร่ ระบุว่า "จนถึงขณะนี้ข้าพเจ้าก็ยังคงไม่สามารถลืมช่วงเวลาสำคัญแห่งประวัติศาสตร์ เมื่อข้าพเจ้าได้จับมือของ ท่านผู้นำไว้ ณ สถานที่อันสวยงามและศักดิ์สิทธิ์ ในขณะที่ทั่วโลกกำลังจับตามอง" ซึ่งหมายถึงการประชุมครั้งแรกระหว่างผู้นำทั้งสองที่สิงคโปร์ เมื่อปี ค.ศ. 2018
และภายหลังการพบกันครั้งที่สองที่เวียดนาม ซึ่งไม่ประสบความสำเร็จ ผู้นำคิมได้เขียนจดหมายถึงประธานาธิบดีทรัมป์ว่า "ทุกนาทีที่เราใช้ร่วมกันเมื่อ 103 วันก่อนที่กรุงฮานอย ยังคงเป็นช่วงเวลาแห่งชัยชนะที่อยู่ในความทรงจำที่สวยงาม"
ด้านประธานาธิบดีทรัมป์ก็ได้ใช้คำเรียกผู้นำคิมอย่างยกย่องเช่นกัน โดยเรียกผู้นำเกาหลีเหนือว่า "ยิ่งกว่าฉลาดหลักแหลม" นอกจากนี้ทรัมป์ยังเคยกล่าวกับวู้ดวาร์ด ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ว่า "ผู้นำคิมเล่าให้ตนฟังทุกอย่าง" รวมทั้งเรื่องที่ผู้นำคิมประหารชีวิตอาเขยของตนเอง จาง ซอง เตี๊ยก เมื่อปี ค.ศ. 2013 ในข้อหาเป็นกบฎ
ก่อนหน้าที่จะเริ่มพบเจรจาครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 2018 ปธน.ทรัมป์ และผู้นำคิม มักมีกรณีกระทบกระทั่งกันบ่อยครั้ง รวมทั้งคราวที่ประธานาธิบดีทรัมป์เรียกผู้นำคิมว่า “Little Rocket Man” และ คิม จอง อึน ตอบโต้โดยเรียกผู้นำสหรัฐฯ ว่า "ผู้มีสติเลอะเลือนจนควบคุมตัวเองไม่ได้"
และมีครั้งหนึ่งที่ผู้นำสหรัฐฯ ขู่ว่าจะทำลายเกาหลีเหนือ "ให้หมดสิ้น"
แต่ภายหลังการพบกันที่สิงคโปร์ ประธานาธิบดีทรัมป์เคยกล่าวว่า แม้การเจรจาด้านนิวเคลียร์ระหว่างสองประเทศจะไม่คืบหน้า แต่ตนและผู้นำคิมต่างมีความยินดีกับความสัมพันธ์ที่เยี่ยมยอด และมีการแลกเปลี่ยนจดหมายส่วนตัวกันเสมอ โดยครั้งหนึ่งประธานาธิบดีทรัมป์ได้กล่าวว่าตนและผู้นำคิม "ตกหลุมรัก" ซึ่งกันและกัน
ที่ผ่านมา ทั้งสหรัฐฯ และเกาหลีเหนือ เปิดเผยว่ามีการติดต่อกันผ่านจดหมายระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์กับผู้นำคิมมาแล้วไม่ต่ำกว่า 10 ครั้ง แต่ยังไม่เคยมีการระบุว่าผู้นำทั้งสองแลกเปลี่ยนจดหมายมากกว่า 25 ครั้ง ดังที่ปรากฎอยู่ในคำโปรยของหนังสือเล่มนี้
ผู้เชี่ยวชาญการเมืองเกาหลีเหนือบางคนเกรงว่า การเปิดเผยจดหมายส่วนตัวของผู้นำทั้งสองคนอาจสร้างความไม่พอใจให้กับเกาหลีเหนือ และส่งผลกระทบต่ออนาคตของการเจรจาด้านนิวเคลียร์ระหว่างสองประเทศได้
โดยในช่วงหลายเดือนมานี้ เจ้าหน้าที่เกาหลีเหนือได้เน้นย้ำว่า แม้ความสัมพันธ์ระหว่าง "ทรัมป์ - คิม" ยังคงแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่ได้รับประกันว่าจะมีความคืบหน้าในการเจรจานิวเคลียร์แต่อย่างใด
ประธานาธิบดีทรัมป์เคยกล่าวไว้ว่า หากตนชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือนพฤศจิกายนนี้ ตนจะบรรลุข้อตกลงด้านนิวเคลียร์กับผู้นำคิมอย่างรวดเร็ว แต่ทางนายโจ ไบเดน คู่แข่งชิงตำแหน่งประธานาธิบดี จากพรรคเดโมแครต ยืนยันว่าจะไม่สานต่อความสัมพันธ์ส่วนตัวกับ คิม จอง อึน เหมือนที่ทรัมป์ทำไว้