'ทรัมป์' ขู่สั่งปิดสมัยประชุมสภา หงุดหงิดแต่งตั้งตำแหน่งสำคัญไม่ได้

President Donald Trump speaks about the coronavirus in the Rose Garden of the White House, Wednesday, April 15, 2020, in Washington. (AP Photo/Alex Brandon)

Your browser doesn’t support HTML5

Trump Adjourn Congress

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขู่ว่าจะสั่งให้รัฐสภาอเมริกันปิดสมัยประชุม เพื่อเปิดทางให้ตนเองแต่ตั้งบุคคล ที่ได้ส่งชื่อไปรอการลงมติรับรอง แต่ยังไม่ได้ผ่านขั้นตอนดังกล่าว สามารถรับตำแหน่งเหล่านั้นได้

หนึ่งในผู้ที่ประธานาธิบดีทรัมป์เสนอชื่อไปแต่ยังไม่ได้รับการรับรองจากสภาก็คือผู้ที่เขาต้องการให้มาดูเเลองค์กรที่บริหาร สื่อว้อยซ์ ออฟ อเมริกา หรือวีโอเอ

ผู้นำสหรัฐฯกล่าวเมื่อวันพุธว่าเขา “มีอำนาจมาก” ตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ในมาตราที่สอง เรื่องการสั่งให้สภายุติสมัยประชุม โดยรัฐธรรมนูญเขียนไว้ว่า เป็นอำนาจ “ในสถานการณ์พิเศษ”

ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวว่าวุฒิสภาอเมริกันควรทำหน้าที่ลงมติว่าบุคคลที่เขาแต่งตั้งจะได้รับการรับรองหรือไม่ หรือไม่เช่นนั้นก็ควรปิดสมัยประชุม เพื่อที่ว่าเขาจะได้ใช้อำนาจแต่งตั้งโดยตรง

เขากล่าวต่อไปว่า มีคนจำนวนมากที่ต้องเข้าทำงานในรัฐบาล และสถานการณ์การระบาดของโคโรนาไวรัส ยิ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนให้คนเหล่านี้ได้รับหน้าที่ในตำแหน่งต่างๆ

ทั้งนี้ รัฐธรรมมูญสหรัฐฯ กำหนดให้วุฒิสภาทำหน้าที่กลั่นกรองและพิจารณาความเหมาะสม ของบุคคลที่ได้รับการเสนอชื่อสำหรับตำแหน่งใหญ่ๆ

อย่างไรก็ตาม หากเป็นช่วงที่สภามิได้อยู่ในสมัยประชุม ประธานาธิบดีสามาถแต่งตั้งบุคคลเหล่านั้นได้โดยตรง ในการใช้อำนาจที่เรียกว่า “recess appointment” แต่อำนาจแต่งตั้งลักษณะนี้จะหมดไปหากบุคคลที่ได้รับการเสนอชื่อ ยังคงไม่ได้รับการรับรองจากสภาเมื่อสมัยประชุมสภาถัดไปจบลงอย่างสมบูรณ์

ในประวัติศาสตร์อเมริกัน ยังไม่มีประธานาธิบดีคนใดที่สั่งให้สภายุติสมัยการประชุม ตามรัฐธรรมนูญมาตราสอง วรรคสาม

ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวว่า ไม่มีใครเคยใช้อำนาจนี้ แต่ตนจะใช้แนวทางนี้ เพราะไม่ต้องการเล่นเกมการเมืองอีกต่อไป

ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีทรัมป์​เสนอชื่อ นายไมเคิล เเพค ผู้สร้างหนังสารคดี ให้เป็นผู้บริหาร องค์กร U.S. Agency for Global Media ซึ่งเป็นหน่วยงานเเม่ของ วีโอเอ

เขาเป็นหนึ่งในผู้ได้รับการเสนอชื่อจากทำเนียบขาวในตำแหน่งสำคัญๆ15 คนที่ยังไม่ได้รับการรับรองจากวุฒิสภา ซึ่งรวมถึงตำแหน่งผู้อำนวยการข่าวกรองแห่งชาติ สมาชิกคณะกรรมการระบบธนาคารกลางสองราย และรองรัฐมนตรีกระทรวงเกษตร ที่จะรับผิดชอบโครงการความมั่นคงด้านอาหาร

ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวโทษ นักการเมืองเดโมเเครตในเรื่องนี้ ว่าร่วมมือกันทำให้เกิดความยากลำบาก

เขากล่าวว่า ชื่อของนายไมเคิล เเพค ติดค้างยังไม่ได้รับการแต่งตั้งมาสองปี ทำให้ไม่สามารถเข้าบริหารวีโอเอได้

และบอกด้วยว่า “ถ้าใครได้ฟังรายงานของว้อยซ์ ออฟ อเมริกา จะรู้ว่าเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ สิ่งที่ว้อยซ์ ออฟ อเมริการายงานเป็นที่น่ารังเกียจต่อประเทศ (สหรัฐฯ)”

ผู้บริหารของวีโอเอ ตอบโต้ประธานาธิบดีทรัมป์ ในแถลงการณ์เย็นวันพุธ​

อะเเมนดา เบนเน็ต ผู้อำนวยการวีโอเอ กล่าวในคำแถลงว่า “เป็นเวลากว่า 75 ปี ที่วีโอเอ ดำเนินงานตามหน้าที่ ที่จะเล่าเรื่องราวของอเมริกา และให้ข้อมูลที่เป็นความจริงและตรงไปตรงมาต่อคนในส่วนต่างๆทั่วโลกที่ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านั้นได้ ”

Amanda Bennett,who will be sworn in as the new director of the Voice of America on Monday, April 18, 2016.

เธอกล่าวเสริมว่า หน้าที่ของวีโอเอที่สำคัญ คือการส่งเสริมเสรีภาพสื่อในส่วนต่างๆของโลก

ผู้อำนวยการวีโอเอผู้นี้กล่าวด้วยว่า “หากดูจากตัวเลขจำนวนผู้ติดตามข่าวของวีโอเอที่เพิ่มขึ้น ในช่วงการระบาดของโคโรนาไวรัส อาจบอกได้ว่าคนทั่วโลกเชื่อมั่นในหน้าที่ และจุดมุ่งหมายของเรา”

เธอบอกว่าการทำงานนี้เป็นเรื่องยาก และเป็นงานที่สำคัญ​ซึ่งน่าจะสำคัญยิ่งขึ้น กว่าในอดีต ด้วย

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทำเนียบขาวโจมตีวีโอเอ โดยกล่าวว่า ช่วยจีนทำข่าวโฆษณาชวนเชื่อ ที่ส่งเสริมรัฐบาลปักกิ่ง ตัวอย่างที่ถูกยกมาวิจารณ์ คือข่าววิดีโอของสำนักข่าวเอพี ที่วีโอเอนำมาทวีต เรื่องการเปิดเมืองอู่ฮั่น

และทำเนียบขาวยังกล่าวหาว่าวีโอเออ้างสถิติผู้เสียชีวิตในจีนเทียบกับสหรัฐฯ ตามตัวเลขของรัฐบาลปักกิ่ง แต่ในความเป็นจริงวีโอเอใช้ตัวเลขของมหาวิทยาลัยจอห์นส์ ฮอบกิ้นส์ ซึ่งเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง

หนังสือพิมพ์ The New York Times ของสหรัฐฯกล่าวว่าการโจมตีวีโอเอของทำเนียบขาว เป็นเรื่องประหลาด

ในครั้งนั้น อะเเมนดา เบนเน็ต ตอบโต้ทำเนียบขาวว่า วีโอเอทำข่าว การบิดเบือนข้อมูลของทางการจีนอย่างครบถ้วน และเสนอรายงานตามข้อมูลที่เป็นจริง

ทั้งนี้ อะเเมนดา เบนเน็ต ได้รับการแต่งตั้งในสมัยอดีตประธานาธิบดี บารัค โอบามา และเธอดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการวีโอเอ มาเป็นเวลา 4 ปีเเล้ว ก่อนหน้่านี้ เธอทำงานเป็นนักข่าวและได้รับรางวัล Pulitzer Prize ซึ่งเป็นรางวัลอันทรงเกียรติของวงการสื่อสารมวลชน