วุฒิสมาชิกอเมริกันเชื้อสายไทย พ.ท.หญิง ลัดดา แทมมี ดักเวิร์ธ เปิดตัวหนังสือใหม่ “Every Day Is a Gift” หรือ ทุกวันคือของขวัญ ซึ่งเป็นบันทึกความทรงจำเกี่ยวกับชีวิตที่ต้องผ่านบททดสอบอย่างหนัก ตั้งแต่เป็นเด็กลูกครึ่งในประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การสูญเสียขาทั้งสองข้างในสงครามอิรัก ตลอดจนการเป็นแม่ในขณะดำรงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาสหรัฐฯ
ส.ว.จากรัฐอิลลินอย ที่ครั้งหนึ่งติดโผรายชื่อผู้ที่ได้รับการพิจารณาให้ลงชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดี เคียงคู่ไปกับโจ ไบเดน ในการเลือกตั้งเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมา ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนสหรัฐฯ เกี่ยวกับหนังสือเล่มใหม่ของเธอ
แทมมียังได้พูดคุยกับนางฮิลลารี คลินตัน อดีตสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง ในรายการพอดแคสท์ "You and Me Both with Hillary Clinton" เป็นการคุยกับ "หญิงกล้า" ซึ่งเนื้อหาบางช่วงบางตอนเป็นเรื่องของการต้องต่อสู้กับการถูกเหยียดหรือเลือกปฏิบัติ และการลุกขึ้นมายืนหยัดอีกครั้งหลังจากที่ต้องเผชิญกับปัญหาและช่วงเวลาที่รู้สึกพ่ายแพ้ในชีวิต
อดีตทหารผ่านศึกสงครามอิรักเล่าว่า ชีวิตวัยเด็กที่เติบโตในประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในฐานะลูกครึ่งของทหารอเมริกันจีไอและหญิงไทยเชื้อสายจีน หลังการสิ้นสุดสงครามเวียดนามนั้น ทำให้เธอต้องถูกล้อเลียน กลั่นแกล้ง และเลือกปฏิบัติ เพราะสังคมในตอนนั้น เหมารวมว่าลูกครึ่งเหล่านี้ เป็นลูกที่พ่อชาวอเมริกันทิ้งไว้อยู่กับแม่ ซึ่งหลายคนเป็นหญิงขายบริการทางเพศมาก่อน
ในขณะนั้น มีทหารอเมริกันเพียงไม่กี่คนที่แต่งงานกับหญิงไทยและสร้างครอบครัว ซึ่งพ่อของแทมมีก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่ถึงอย่างนั้น แม่ของเธอก็หนีไม่พ้นการโดนสังคมมองอย่างผิด ๆ ทำให้แม่ของเธอต้องใช้ชีวิตด้วยความอับอายกับตราบาปที่สังคมยัดเยียดให้
ส่วนแทมมีพยายามให้ตัวเองเป็นที่ยอมรับ ให้เป็นส่วนหนึ่งของสังคม แต่ก็พบว่านั่นเป็นเรื่องที่ยาก ไม่ว่าจะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือในฮาวาย เมื่อครอบครัวเธอย้ายไปอยู่ที่นั่น เธอบอกว่าประสบการณ์ในวัยเด็กจึงทำให้เข้าใจประสบการณ์ของผู้อพยพ
นอกจากนี้ แทมมียังให้สัมภาษณ์กับ NPR อีกด้วยว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอเมื่อหลายสิบปีก่อน ยังคงเกิดขึ้นกับคนอเมริกันเชื้อสายเอเชีย หรือชาวเอเชียนที่อพยพมาอยู่อเมริกาในทุกวันนี้ นั่นคือความรู้สึกว่าเป็นคนอื่นในประเทศของตัวเอง
เธอกล่าวว่าปีที่ผ่านมาและปีนี้ เป็นปีที่หนักหน่วงสำหรับคนเชื้อสายเอเชียในอเมริกา เพราะพวกเขารู้สึกว่ากำลังถูกล่า ถูกถ่มน้ำลายใส่หน้า และถูกลดค่าความเป็นคน และความเป็นอเมริกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอเข้าใจได้
การถูกเลือกปฏิบัติมาตั้งแต่เด็กนี่เอง ที่ทำให้ แทมมี ดักเวิร์ธ บอกว่าเธอตกหลุมรักกองทัพอเมริกัน เพราะระบบทหารเป็นระบบที่เน้นความรู้ความสามารถของบุคคลเป็นหลัก ไม่มีใครสนใจว่าเธอเป็นผู้หญิงเชื้อสายเอเชียตัวเล็ก ๆ แต่กองทัพสนใจว่าเธอทำงานได้ไหม ยิงปืนเป็นหรือไม่ ซึ่งเธอบอกว่าการเข้าร่วมกองทัพ เป็นครั้งแรกที่คุณค่าของเธอถูกตัดสินจากการทำงาน
แทมมี เข้าร่วมสงครามอิรัก และเป็นผู้หญิงในกองทัพสหรัฐฯ เพียงไม่กี่คนที่ทำหน้าที่เป็นนักบินเฮลิคอปเตอร์ในการรบครั้งนั้น สงครามอิรักเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิต เพราะเฮลิคอปเตอร์ที่เธอขับ ถูกยิงตกจนทำให้เธอต้องสูญเสียขาทั้งสองข้าง และรักษาอาการเป็นเวลานานหลายเดือน
ในหนังสือ Every Day is a Gift เธอเล่าว่าเธอต้องการกลับเข้าไปในกองทัพและร่วมรบกับเพื่อนทหารคนอื่น ๆ เหมือนเดิม แต่เมื่อรู้ว่าเธอจะไม่สามารถทำได้ เธอรู้สึกผิดหวัง หดหู่ และรู้สึกไร้เป้าหมายในชีวิต จนกระทั่งเธอได้รับการชักชวนให้ลงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ของเขตในรัฐอิลลินอย ซึ่งเธอพ่ายแพ้ในการลงสมัครครั้งแรก ซึ่งเธอบอกว่าเธอขังตัวเองในห้องน้ำและร้องไห้ไป 3 วัน แต่สุดท้ายเธอไม่ยอมแพ้ ลงเลือกตั้งอีกครั้งและได้รับเลือกเป็น ส.ส. จากรัฐอิลลินอยสองสมัย ก่อนที่จะได้รับเลือกเป็น ส.ว.ในปี ค.ศ.2016
นอกจากนี้ หนังสือบันทึกความทรงจำของแทมมี ยังได้พูดถึงความยากจนของครอบครัว โดยเฉพาะหลังจากย้ายไปฮาวาย พ่อของเธอตกงานเป็นเวลาสามปี ทำให้เธอเป็นคนเดียวในบ้านที่มีงานทำ หาเงินมาซื้ออาหารและจ่ายค่าเช่าบ้าน ในวัยเพียง 15 ปี เธอยังพูดถึงความพยายามตั้งครรภ์ การเป็นแม่ของลูกสาว 2 คนในขณะที่ต้องทำหน้าที่ผู้แทนในรัฐสภาสหรัฐฯ ควบคู่ไปด้วย ตลอดจนการต่อสู้กับความรู้สึกว่าเธอทำหน้าที่แม่ได้ไม่ดีพอ
ในการพูดคุยกับฮิลลารี คลินตัน ในรายการพอดแคสท์ แทมมี ดักเวิร์ธสรุปว่าประสบการณ์ของเธอทำให้เธอได้ค้นพบความพิเศษของอเมริกา
“เราไม่ใช่ประเทศที่สัญญากับคุณว่าคุณจะไม่มีวันล้มเหลว อเมริกาเป็นประเทศที่บอกว่า ถ้าคุณล้มไปแล้วแต่คุณไม่ยอมแพ้ อเมริกาก็จะไม่ทอดทิ้งคุณเช่นกัน นั่นคือความงดงามของอเมริกา”
นอกจากนี้ เธอยังอยากให้คนอเมริกันได้เห็นการต่อสู้กับความยากจน การเลือกปฏิบัติ และความผิดหวังในช่วงต่าง ๆ ของชีวิตของเธอ แล้วบอกตัวเองว่า การต่อสู้ฝ่าฟันกับอุปสรรคในชีวิตนั้นเป็นเรื่องธรรมดา ขอเพียงให้ทุกคนลุกขึ้นมาก็พอ