“บิ๊กโจ๊ก” เปิดใจ ปมสมัยถูกเด้งฟ้าผ่า – แย้มเส้นทางการเมืองในอนาคต

Deputy Commissioner of the Royal Thai Police, Pol. Gen. Surachate Hakparn talks with VOA Thai in Washington, DC. Feb 27, 2023.

วีโอเอไทยพูดคุยกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดใจประเด็น “ถูกเด้งฟ้าผ่า” ที่เคยเป็นพาดหัวใหญ่เมื่อเดือนเมษายน 2562 จากกรณีที่เขาถูกผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติสั่งย้ายจากตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ไปปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ก่อนที่ไม่กี่วันต่อมา จะถูกคำสั่งหัวหน้า คสช. สั่งย้ายมาประจำตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

ต่อมาในเดือนกันยายน พ.ศ. 2563 พล.ต.ท. สุรเชษฐ์ (ยศในขณะนั้น) ได้ให้ทนายส่วนตัวยื่นฟ้องพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รมว. กลาโหม และอดีตหัวหน้า คสช. ต่อศาลปกครอง กรณีออกคำสั่งย้ายโอนไม่ชอบด้วยกฎหมาย ก่อนที่ศาลจะไม่รับฟ้องในเวลาต่อมา

“บิ๊กโจ๊ก” ได้กลับมาปฏิบัติราชการตำรวจอีกครั้งในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2564 หลังคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ ที่มีพล.อ. ประยุทธ์ เป็นประธาน มีมติรับโอนเขามาดำรงตำแหน่งที่ปรึกษา (พิเศษ) เทียบเท่าผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ก่อนที่จะได้เลื่อนเป็นรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

“คือตอนโดนย้ายไปก็แน่นอนนะครับ เราก็ท้อแท้ คือเราก็ท้อแท้ว่าเราทำงานมาเยอะนะครับ เราก็รู้สึกว่าเราจะไปทางไหนดีเพราะเราถูกดองไว้ 2 ปี 2 ปีเนี่ยผมไม่มีงานเลยนะ ผมไม่มีงานสักชิ้นก็ไม่มีการมอบงานให้ผมนะครับ” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวกับวีโอเอไทยระหว่างเดินทางเยือนกรุงวอชิงตันเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

“ผมถึงขนาดเรียนท่านนายกรัฐมนตรีนะครับว่า ยังไงก็ตามขอให้ตรวจสอบผม ถ้าตรวจสอบผมแล้วพบความผิด ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ท่านไล่ผมออกไปเลยนะครับ แต่ถ้าไม่พบความผิดขอให้คืนความเป็นธรรมให้ผม” เขากล่าวถึง “บิ๊กตู่” ผู้ที่ครั้งหนึ่งเขาเคยยื่นคำสั่งฟ้องศาลด้วยข้อหาออกคำสั่งย้ายโดยมิชอบ

แม้จะเผชิญการ “ถูกดอง” เป็นเวลาสองปี แต่ “บิ๊กโจ๊ก” กลับมองว่า เป็นการได้พิสูจน์ตนเองจากการผ่านกระบวนการตรวจสอบต่อข้อหาต่าง ๆ ที่เขาเผชิญก่อนที่จะมีคำสั่งย้าย และเชื่อว่าส่วนหนึ่งที่เขาได้กลับมาปฏิบัติราชการตำรวจด้วยตำแหน่งที่สูงขึ้นกว่าเดิม เป็นเพราะ “บุญกุศล” ที่เขาทำเพื่อช่วยเหลือประชาชน

Surachate Hakparn

“ในห้วง 2 ปี ผมก็พยายามทบทวนหลายๆเรื่อง ว่าผมทำงานไม่ดีอย่างไร บกพร่องอย่างไร ก็ต้องเอา 2 ปีนั้นมาปรับปรุงตัว แล้วก็เรื่องกระบวนการตรวจสอบก็ต้องตรวจสอบไปนะครับ และเมื่อครบ 2 ปีผมไม่มีความผิด ผมจะได้กลับมา แต่การที่กลับมาของผมรอบนี้ ผมได้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น

...ผมก็มองว่าอันนี้ หนึ่งคือ ผู้บังคับบัญชาท่านไว้วางใจ และ สองคือ เรื่องของบุญกุศล ผมมองว่า อันนี้ คือบุญกุศลที่ผมทำต่อประชาชนนะครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการปราบปรามคอลเซ็นเตอร์ การช่วยเหลือคน เรื่องหนี้นอกระบบ การปราบปรามนายทุน การต่อสู้กับคนรวยช่วยคนจน ต่าง ๆ เหล่านี้เป็นบุญกุศลที่ส่งให้เรายามเราลำบากนะครับ

....ผมก็ต้องเรียนตรง ๆ ว่าเมื่อกลับมาแล้วเนี่ยผมก็ไปกราบศาลหลักเมือง กราบองค์พระแก้วมรกตนะครับ ว่าผมจะอาสาทำงานให้กับแผ่นดินนะให้หนักกว่าเดิม เพราะผมได้รับความเป็นธรรมกลับมา ผมจะอาสาทำงานให้กับแผ่นดินให้มากกว่าเดิมจนกว่าผมจะเกษียณ”

อยากลุยเรียน – ทำงาน ตลอดอายุราชการที่เหลืออีก 8-9 ปี

ด้วยวัย 52 ปี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังเหลือเวลาอีกราว 8-9 ปีก่อนเกษียณอายุราชการ โดยเขากล่าวกับวีโอเอไทยว่า เขาตั้งใจเรียนและอบรมให้มากเพื่อนำความรู้มา “ถ่ายทอดให้คน และเอาใช้ในการสืบสวนสอบสวนได้” ตลอดช่วงอายุงานที่ยังเหลืออยู่ชองเขาในเส้นทางอาชีพตำรวจ

“ไม่ได้หมายความว่าต้องการเป็น ผบ. ตร. หลายปี แต่ผมมองว่าการเป็นข้าราชการประจำนะครับ ถ้าเป็นปลัด เป็นอธิบดี ถ้าเป็นหลายปีนะแล้วตั้งใจทุ่มเทจริง ๆ นะครับ งานมันจะเดินหน้า แต่ถ้าเป็นปีเดียว สองปี มันแทบไม่มีประโยชน์เลย แต่ว่า หลักการคือต้องทำงาน” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าว “การเหลือ (อายุราชการ) หลายปีเป็นสิ่งที่ดี ทำให้สามารถทำงานได้มาก แล้วสามารถสานต่อนโยบายได้อย่างกว้างขวาง”

“ผมมองว่าต่อไประบบราชการประจำ การกระจายอำนาจเป็นเรื่องสำคัญคือ วันนี้เราต้องกระจายอำนาจลงพื้นถิ่นให้มากขึ้น คือใครก็ตามที่เป็นเบอร์หนึ่งจะต้องมีอำนาจน้อยลง แล้วข้างล่างต้องมีอำนาจให้มากขึ้น แต่มันต้องคู่กับคุณธรรม เพราะฉะนั้นการกระจายอำนาจเป็นสิ่งสำคัญ” “บิ๊กโจ๊ก” กล่าวเสริม

Deputy Commissioner of the Royal Thai Police, Pol. Gen. Surachate Hakparn walks to investigate the raid of the Jinling entertainment venue in Bangkok’s Yannawa district.

ยังไม่บอกจะเล่นการเมือง แต่แง้ม “ถ้าตั้งใจทำงานเพื่อประชาชน-ราชบัลลังก์ เวลาเกษียณไม่ต้องหาเสียงเลย”

“บิ๊กโจ๊ก” มองว่า การลงสู่สนามการเมืองคือวิธีที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ ขณะเดียวกันก็ยอมรับว่า “ข้าราชการประจำอย่างผม ต่อให้ผมเป็นเบอร์ 1 ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้มาก”

อย่างไรก็ตาม พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เจ้าของฉายา “โจ๊ก หวานเจี๊ยบ” ที่เคยประชาสัมพันธ์ผลงานของตนอย่างกระตือรือร้นผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ ก่อนที่จะมีคำสั่งย้ายฟ้าผ่าเมื่อปี 2562 กลับเห็นว่า การตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ในช่วงเวลาที่ยังเป็นตำรวจนั้น “เมื่อถึงเวลาเกษียณ ไม่ต้องหาเสียงเลย คนก็อยากให้เป็นเอง”

“เกษียณแล้วเนี่ยเป็นเรื่องหนึ่ง แต่คนจะเรียกร้องเองว่าอยากจะให้เป็น ท่านเห็นปรากฏการณ์ของท่านชัชชาติ (ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม.) ไหมครับ เพราะคนวันนี้ คนเขาถวิลหา เขาถวิลหาผู้นำที่ซื่อสัตย์ ผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ ผู้นำที่สามารถเปลี่ยนแปลงแล้วกล้าเปลี่ยนแปลง”

การเป็นข้าราชการวันนี้ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องการเมืองนะครับ แต่ว่าถ้าทำตรงนี้ให้ดี รากฐานแน่นนะครับนะ แล้วทำให้กับประเทศชาติแผ่นดินประชาชน ราชบัลลังก์จริงๆ ผมว่าเกษียณไป ไม่ใช้แค่ผมอย่างเดียว น้อง ๆทุ กคนก็เหมือนกัน ประชาชนเขาจะเรียกร้องเอง แล้ววันนั้นผมมองว่าการเมืองประเทศไทยก็จะดีขึ้น... ผมมองว่าการเมืองประเทศไทยเนี่ยอีก 10 ปี มันต้องดีกว่านี้ แล้วก็ระบบต่างๆ มันก็จะดีกว่านี้” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวทิ้งท้าย