ประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิเมียร์ ปูติน กล่าวประณามการโจมตีทางอากาศของสหรัฐฯ และพันธมิตรชาติตะวันตก ต่อซีเรีย ว่าเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ พร้อมเรียกร้องให้มีการประชุมฉุกเฉินของคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติเพื่อหารือกรณีดังกล่าว
เว็บไซต์ของทางการรัสเซีย รายงานว่า ปธน.ปูติน เรียกการโจมตีของสหรัฐฯ ว่าเป็น "การกระทำที่ก้าวร้าวรุนแรงต่อรัฐบาลที่มีอำนาจปกครองประเทศ" และกล่าวหาสหรัฐฯ ว่ายิ่งทำให้สถานการณ์ของความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในซีเรียยิ่งเลวร้ายลง
ปธน.ปูติน ระบุว่า "การเพิ่มระดับความรุนแรงของสงครามในซีเรีย กำลังส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของทั่วโลก" พร้อมยืนยันว่า รัสเซียได้ส่งคณะผู้เชี่ยวชาญเข้าไปตรวจสอบพื้นที่ที่อ้างว่ากองทัพซีเรียมีการใช้อาวุธเคมีโจมตีประชาชนแล้ว และไม่พบหลักฐานการใช้แก๊สพิษใดๆ ทั้งสิ้น
ผู้นำรัสเซียยังกล่าวโทษสหรัฐฯ และพันธมิตร ที่ไม่ยอมอดทนรอผลการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ขององค์กรเพื่อการห้ามใช้อาวุธเคมี (Organization for the Prohibition of Chemical Weapons) ซึ่งปฏิบัติงานอยู่ในซีเรียในขณะนี้
ขณะเดียวกัน กระทรวงกลาโหมรัสเซีย ยืนยันว่า การโจมตีทางอากาศของสหรัฐฯ และพันธมิตร เมื่อวันศุกร์ มิได้กระทบถึงฐานทัพของรัสเซียในเมืองทาร์ทัส และเมืองฮไมมิม และระบบป้องกันตนเองทางอากาศของรัสเซียมิได้ทำงานแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่กลาโหมรัสเซียชี้ว่า รัสเซียจะช่วยซีเรียในการป้องกันตนเองครั้งนี้
ส่วนรายงานข่าวของสื่อในรัสเซีย ระบุว่า กองทัพซีเรียสามารถยิงสกัดขีปนาวุธของสหรัฐฯ ได้จำนวนมาก โดยใช้ระบบปแ้องกันตนเองทางอากาศจากยุคสหภาพโซเวียต ที่มีอายุเกือบ 30 ปี
ก่อนหน้านี้ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ แถลงผ่านทางโทรทัศน์จากทำเนียบขาว เมื่อช่วงค่ำวันศุกร์ (13 เม.ย.) ตามเวลาสหรัฐฯ ประกาศถึงการสั่งการโจมตีซีเรีย ด้วยการสั่งโจมตีทางอากาศไปยังเป้าหมายที่เกี่ยวข้องกับการใช้อาวุธเคมี ของกองทัพรัฐบาลซีเรีย
โดยระบุว่าการโจมตีครั้งนี้เป็นปฏิบัติการร่วมของกองทัพสหรัฐฯ ร่วมกับ กองทัพฝรั่งเศส และอังกฤษ