ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวหา ประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิเมียร์ ปูติน และรัฐบาลอิหร่าน ว่ามีส่วนรับผิดชอบต่อการโจมตีด้วยอาวุธเคมีในซีเรีย ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 40 คน
ปธน.ทรัมป์ ระบุในทวิตเตอร์ว่า "ปธน.ปูติน รัสเซีย และอิหร่าน ต้องรับผิดชอบต่อการสนับสนุนรัฐบาลซีเรีย และปธน.บะชาร์ อัล-อัสซาด หรือ Animal Assad และต้องชดใช้ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในซีเรีย
แม้ ปธน.ทรัมป์ มิได้ระบุว่าการชดใช้ดังกล่าวคืออะไร หรือสหรัฐฯ จะตอบสนองต่อการใช้อาวุธเคมีครั้งล่าสุดในซีเรียอย่างไร แต่นายโธมัส บอสเสิร์ท ที่ปรึกษาด้านการต่อต้านการก่อการร้ายของผู้นำสหรัฐฯ กล่าวกับ ABC News ในวันอาทิตย์ว่า "ทางเลือกทุกอย่างยังคงอยู่ในการพิจารณา" ซึ่งเชื่อว่ารวมถึงการใช้ขีปนาวุธโจมตีใส่ซีเรีย ดังที่ ปธน.ทรัมป์ เคยสั่งการมาแล้วเมื่อปีที่แล้ว
ปธน.ทรัมป์ ยังทวีตด้วยว่า จำเป็นต้องมีการเปิดทางให้ความช่วยเหลือทางการแพทย์และมนุษยชนสามารถเข้าถึงพื้นที่ที่ถูกโจมตีได้ และว่า หากรัฐบาลสหรัฐฯ ชุด ปธน.โอบามา ก้าวข้ามเส้นที่ขีดไว้บนผืนทราย เพื่อนำตัวผู้นำซีเรียมาลงโทษ เหตุการณ์โจมตีด้วยอาวุธเคมีนี้ก็ควรสิ้นสุดไปเมื่อหลายปีก่อน เช่นเดียวกับระบอบการปกครองของผู้นำบะชาร์ อัล-อัสซาด
ขณะเดียวกัน คณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ จะหารือกันในวันจันทร์ เกี่ยวกับการใช้อาวุธเคมีครั้งล่าสุดในซีเรีย ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันเสาร์ ที่เมืองกูตต้า (Ghoutta) ทางภาคตะวันออกของซีเรีย
เจ้าหน้าที่ผู้อยู่ในเหตุการณ์ ระบุว่า พบศพผู้เสียชีวิตหลายครอบครัวในบ้านหลายหลังและในศูนย์หลบภัย ซึ่งลักษณะของศพเหล่านั้นต่างมีน้ำลายฟูมปาก จึงเชื่อว่าอาจเสียชีวิตเพราะอาวุธเคมี นอกจากนี้ยังมีประชาชนกว่า 500 คน ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและเด็ก ถูกนำตัวมายังศูนย์การแพทย์ต่างๆ จากอาการหายใจขัด และมีน้ำลายฟูมปากเช่นกัน
ทางด้านรัฐบาลกรุงมอสโคว์ ออกมาปฏิเสธคำกล่าวหาของรัฐบาลสหรัฐฯ เรื่องการใช้อาวุธเคมี โดยบอกว่าเป็นการเผยแพร่ข่าวปลอมที่ยังคงแพร่กระจายอย่างต่อเนื่อง และหากสหรัฐฯ โจมตีซีเรีย จะมีผลลัพธ์ร้ายแรงตามมา
ขณะที่ทางการอิหร่านระบุว่า สหรัฐฯ พยายามใช้เรื่องอาวุธเคมีเป็นข้ออ้างในการโจมีซีเรีย เหมือนที่เคยทำมาแล้วเมื่อปีก่อน เมื่อ ปธน.ทรัมป์ สั่งการให้โจมตีฐานทัพแห่งหนึ่งในซีเรียด้วยจรวดโทมาฮอว์ค 59 ลูก หลังเกิดการโจมตีด้วยอาวุธเคมีในซีเรีย